Category Archives: สังคมสื่อสาร

ประวัติความเป็นมาของบริษัท Bridgestone 

บริษัท Bridgestone (บริดจสโตน) เป็นผู้ผลิตยางรถยนต์รายใหญ่ของโลก ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1931

โดย ชิโจโร อิชิบาชิ ในเมืองคุรุเมะ  จังหวัดฟุกุโอกะ ประเทศญี่ปุ่น ชื่อ Bridgestone มาจากการแปลกลับคำว่า “อิชิบาชิ” ซึ่งในภาษาญี่ปุ่นหมายถึง “สะพานหิน” หรือ “stone bridge” เพื่อให้มีความเป็นสากลมากขึ้น  

ความเป็นมาของบริษัท Bridgestone  ในช่วงแรก Bridgestone ผลิตยางสำหรับจักรยานและรถบรรทุก ก่อนที่จะขยายเข้าสู่ตลาดยางรถยนต์และพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ จนก้าวขึ้นเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมยางโลกที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง  

 

Bridgestone เริ่มต้นจากการผลิตยางรถจักรยานและจักรยานสำเร็จรูป ก่อนจะเข้าสู่การผลิตยางรถยนต์อย่างเต็มตัวในปี ค.ศ. 1930

ช่วงแรกบริษัทต้องเผชิญกับความท้าทายหลายประการ เนื่องจากเทคโนโลยีการผลิตยางยังคงต้องพึ่งพาการนำเข้าเครื่องจักรและความรู้จากต่างประเทศ  

 

ในปี ค.ศ. 1934 Bridgestone ประสบความสำเร็จในการผลิต ยางรถยนต์ที่ผลิตขึ้นในประเทศญี่ปุ่น ได้เป็นครั้งแรก

โดยไม่ต้องนำเข้าวัตถุดิบหรือเทคโนโลยีจากต่างประเทศ ทำให้ Bridgestone กลายเป็นผู้ผลิตยางรายแรกของญี่ปุ่นที่สามารถผลิตยางได้อย่างครบวงจร  

หลังสงครามโลกครั้งที่สอง Bridgestone ต้องเผชิญกับความเสียหายอย่างหนัก โรงงานหลายแห่งถูกทำลาย และเศรษฐกิจญี่ปุ่นอยู่ในภาวะถดถอย

อย่างไรก็ตาม บริษัทได้ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ด้วยการมุ่งเน้นพัฒนายางที่มีคุณภาพสูงและตอบสนองความต้องการของตลาดยานยนต์ที่กำลังเติบโต  

ในช่วงปี 1950 Bridgestone ได้พัฒนายางเรเดียล (Radial Tire) และเริ่มขยายธุรกิจสู่ตลาดต่างประเทศ โดยมีเป้าหมายในการเป็นบริษัทระดับโลก  

Bridgestone เริ่มต้นการขยายธุรกิจอย่างจริงจังในช่วงปี 1960 และก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในผู้ผลิตยางรายใหญ่ที่สุดของโลก การเข้าซื้อกิจการ Firestone Tire and Rubber Company ในปี ค.ศ. 1988 ถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ ทำให้ Bridgestone กลายเป็นผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดสหรัฐอเมริกาและตลาดยุโรป  

 

การเข้าซื้อกิจการครั้งนี้ยังช่วยให้ Bridgestone ได้รับเทคโนโลยีและเครือข่ายการจัดจำหน่ายที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ส่งผลให้บริษัทสามารถขยายฐานลูกค้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์ได้อย่างรวดเร็ว  

 

Bridgestone เป็นบริษัทที่ให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทมุ่งเน้นการสร้างนวัตกรรมที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของยางและความปลอดภัยในการขับขี่ ยางที่มีชื่อเสียงของ Bridgestone เช่น ยาง Potenza สำหรับรถสปอร์ต และ ยาง Turanza สำหรับการเดินทางระยะไกล  

Bridgestone ยังเป็นผู้นำในการพัฒนายางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น ยางไร้ลม ที่ช่วยลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ และยางที่ช่วยประหยัดพลังงาน  

Bridgestone มุ่งมั่นในการสร้างความยั่งยืน โดยใช้เทคโนโลยีที่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และพัฒนาโครงการเพื่อสังคมในระดับโลก บริษัทมีพันธกิจในการสร้างผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัยและมีคุณภาพสูงเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในยุคปัจจุบัน  

ปัจจุบัน Bridgestone มีเครือข่ายการผลิตและจำหน่ายในกว่า 150 ประเทศทั่วโลก ด้วยโรงงานมากกว่า 180 แห่งในหลายทวีป บริษัทเป็นผู้ผลิตยาง

สำหรับยานพาหนะทุกประเภท ตั้งแต่รถยนต์ รถบรรทุก รถจักรยานยนต์ ไปจนถึงเครื่องบินและยานพาหนะอุตสาหกรรม ด้วยวิสัยทัศน์ที่มุ่งสู่ความยั่งยืน Bridgestone ยังคงพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อสร้างอนาคตที่ดีกว่าในอุตสาหกรรมยานยนต์และโลกใบนี้

 

 

สนับสนุนเนื้อหาโดย      วิธีดูแลและรักษาหู

กิน 3 ผักนี้ ทุกวัน ช่วยลดน้ำตาลในเลือดได้โดยไม่ต้องใช้ยา

 

การดูแลสุขภาพด้วยวิธีธรรมชาติกำลังเป็นที่นิยมในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดที่เป็นปัจจัยสำคัญในการป้องกันโรคเบาหวาน

การเลือกบริโภคผักที่มีคุณสมบัติช่วยลดน้ำตาลในเลือด เช่น ผักเชียงดา ผักตำลึง และมะระขี้นก เป็นวิธีที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการปรับสมดุลร่างกายโดยไม่ต้องใช้ยา

 

1. ผักเชียงดา (Gymnema Sylvestre)

ผักเชียงดา หรือที่เรียกกันว่า “ผักฮีลเบาหวาน” เป็นผักพื้นบ้านที่มีชื่อเสียงในด้านการช่วยลดน้ำตาลในเลือด ผักชนิดนี้มีสารสำคัญชื่อว่า **จิมนีมิกแอซิด (Gymnemic Acid)** ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยยับยั้งการดูดซึมน้ำตาลในลำไส้ และส่งเสริมการทำงานของอินซูลินในร่างกาย 

 

การบริโภคผักเชียงดาสด เช่น ใส่ในแกงเลียง หรือนำไปต้มกินคู่กับน้ำพริก สามารถช่วยปรับสมดุลน้ำตาลในเลือดได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์ช่วยลดความอยากอาหารหวาน จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดในระยะยาว

 

2. ผักตำลึง (Coccinia Grandis)

ผักตำลึงเป็นอีกหนึ่งผักพื้นบ้านที่มีคุณสมบัติช่วยลดน้ำตาลในเลือด เนื่องจากมีสารสำคัญที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของอินซูลินและควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด

นอกจากนี้ ผักตำลึงยังอุดมไปด้วยไฟเบอร์ ซึ่งช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาลในระบบย่อยอาหาร และช่วยป้องกันการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำตาลหลังมื้ออาหาร

 

ผักตำลึงสามารถนำมาปรุงอาหารได้หลากหลาย เช่น ต้มจืดตำลึง ผัดกับไข่ หรือใส่ในแกงส้ม นอกจากจะช่วยลดน้ำตาลในเลือดแล้วยังเสริมสร้างสุขภาพโดยรวม เนื่องจากมีวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย

 

 3.มะระขี้นก (Bitter Melon)

มะระขี้นกเป็นผักที่มีรสขมแต่มีประโยชน์สูงต่อผู้ป่วยเบาหวาน เนื่องจากมีสารประกอบที่ชื่อว่า **ชาแรนทิน (Charantin)** และ **โพลีเปปไทด์-พี (Polypeptide-P)** ซึ่งช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดโดยกระตุ้นการหลั่งอินซูลิน และลดการดูดซึมกลูโคสในลำไส้

 

การบริโภคมะระขี้นกสามารถทำได้หลากหลาย เช่น ต้มกินกับน้ำพริก ใส่ในแกงจืด หรือทำเป็นน้ำมะระขี้นกเพื่อดื่ม ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ยังช่วยล้างพิษในตับและบำรุงระบบย่อยอาหารอีกด้วย

 

ประโยชน์ของการกินผักทั้ง 3 ชนิดร่วมกัน

การกินผักเชียงดา ผักตำลึง และมะระขี้นกเป็นประจำทุกวัน ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้อย่างปลอดภัยและธรรมชาติ โดยผักแต่ละชนิดมีคุณสมบัติช่วยเสริมการทำงานของอินซูลิน

ช่วยยับยั้งการดูดซึมน้ำตาล และช่วยลดการอักเสบในร่างกาย นอกจากนี้ยังช่วยบำรุงสุขภาพโดยรวม เช่น ส่งเสริมการขับถ่าย ลดคอเลสเตอรอล และช่วยควบคุมน้ำหนัก

 

สรุปแล้ว    หูตึงรักษาหายไหม      ผักเชียงดา ผักตำลึง และมะระขี้นกเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำตาลในเลือดโดยไม่พึ่งยา

การบริโภคผักเหล่านี้ร่วมกับการปรับพฤติกรรมการกินอาหาร การออกกำลังกาย และการดูแลสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานและเสริมสร้างสุขภาพในระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ประวัติรถคาดิแลค (Cadillac) 

 

คาดิแลค  เป็นหนึ่งในแบรนด์รถยนต์สุดหรูสัญชาติอเมริกันที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2445 (ค.ศ. 1902)

โดยวิลเลียม เมอร์ฟี เลมิวเอล โบว์น และเฮนรี ลีแลนด์ บริษัทตั้งชื่อแบรนด์ตามอองตัวน เดอ ลา มอธ คาดิ ผู้ก่อตั้งเมืองดีทรอยต์ รัฐมิชิแกน สหรัฐอเมริกา  

 

คาดิแลคเกิดขึ้นหลังจากเฮนรี ฟอร์ด ลาออกจากบริษัทเดิม ทำให้ผู้ก่อตั้งบริษัทคนอื่น ๆ หันไปจ้างเฮนรี ลีแลนด์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเครื่องยนต์ เพื่อประเมินมูลค่าทรัพย์สินของบริษัท

แต่สุดท้าย ลีแลนด์ได้แนะนำให้สร้างรถยนต์รุ่นใหม่แทนการเลิกกิจการ นั่นจึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นของคาดิแลค ซึ่งมุ่งเน้นการผลิตรถยนต์คุณภาพสูงและเทคโนโลยีล้ำสมัย  

 

คาดิแลคสร้างชื่อเสียงด้วยการเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมตั้งแต่ยุคแรก ๆ ตัวอย่างเช่น ในปี พ.ศ. 2455 (ค.ศ. 1912) คาดิแลคเป็นบริษัทแรกที่นำระบบสตาร์ทไฟฟ้ามาใช้แทนการสตาร์ทด้วยมือหมุนแบบเก่า

ซึ่งถือเป็นการปฏิวัติวงการรถยนต์ และในปี พ.ศ. 2461 (ค.ศ. 1918) คาดิแลคได้เปิดตัวเครื่องยนต์ V8 ซึ่งช่วยให้รถยนต์สามารถทำความเร็วได้สูงขึ้นและประหยัดพลังงานมากขึ้น  

ช่วงทศวรรษ 1930 คาดิแลคกลายเป็นสัญลักษณ์ของความหรูหรา

โดยมีการออกแบบที่โดดเด่นและล้ำสมัย เช่น กระจังหน้าสไตล์คลาสสิก ตัวถังที่ยาวสง่างาม และการใช้สีเมทัลลิกเงางามที่หรูหรา รถยนต์คาดิแลคจึงกลายเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งของบุคคลสำคัญ นักการเมือง และดาราฮอลลีวูด  

 

รถยนต์คาดิแลคเป็นสัญลักษณ์ของความหรูหราและความสำเร็จในสังคมอเมริกัน โดยเฉพาะช่วงทศวรรษ 1950 และ 1960 ซึ่งถือเป็นยุคทองของแบรนด์ ด้วยการเปิดตัวรุ่น Eldorado และ DeVille ซึ่งมีดีไซน์โดดเด่นด้วยครีบหลังขนาดใหญ่และตัวถังที่โค้งมนตามสไตล์อเมริกันคลาสสิก  

 

นอกจากดีไซน์ที่หรูหราแล้ว คาดิแลคยังเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีเสมอมา เช่น ระบบกันสะเทือนอากาศ ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ และระบบเครื่องเสียงคุณภาพสูง นวัตกรรมเหล่านี้ช่วยให้คาดิแลคเป็นแบรนด์ที่ได้รับความนิยมอย่างยาวนาน  

 

ในยุคปัจจุบัน คาดิแลคยังคงรักษาภาพลักษณ์ความหรูหรา แต่ปรับตัวให้เข้ากับเทรนด์ใหม่ ๆ เช่น การผลิตรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ SUV ที่ตอบโจทย์ตลาดได้ดียิ่งขึ้น รถยนต์รุ่นใหม่ ๆ

อย่าง Cadillac Escalade และ Cadillac Lyriq ซึ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกของบริษัท แสดงให้เห็นถึงการมุ่งสู่อนาคตของแบรนด์ที่เน้นความยั่งยืนและนวัตกรรม  

นอกจากนี้ คาดิแลคยังเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีขับเคลื่อนอัตโนมัติ  โดยมีระบบ Super Cruise ซึ่งเป็นระบบขับขี่อัตโนมัติที่ล้ำสมัยและได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในอุตสาหกรรมรถยนต์  

 

คาดิแลคไม่เพียงเป็นแบรนด์รถยนต์ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 100 ปี แต่ยังเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมและสัญลักษณ์ของความหรูหราในวงการยานยนต์เสมอมา

แม้จะเผชิญความท้าทายจากการแข่งขันในตลาดรถยนต์ระดับหรู คาดิแลคก็ยังคงพัฒนาและปรับตัวอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาความเป็นผู้นำในยุคที่อุตสาหกรรมยานยนต์เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว  

 

สนับสนุนโดย      เครื่องช่วยฟังยี่ห้อไหนดี

อาหารและเครื่องดื่มที่ควรหลีกเลี่ยงเมื่อป่วย

การเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสมมีความสำคัญอย่างยิ่งในช่วงที่ร่างกายกำลังป่วย เพราะอาหารบางชนิดอาจทำให้อาการแย่ลงหรือขัดขวางกระบวนการฟื้นฟูของร่างกาย

ดังนั้น การหลีกเลี่ยงอาหารและเครื่องดื่มบางประเภทจึงช่วยเสริมสร้างสุขภาพให้กลับมาดีขึ้นได้เร็วขึ้น ต่อไปนี้คืออาหาร 3 ประเภทที่ไม่ควรบริโภคในช่วงป่วย

 

  1. เครื่องดื่มแอลกอฮอล์

เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เช่น เบียร์ ไวน์ และสุรา เป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงอย่างยิ่งเมื่อป่วย เนื่องจากแอลกอฮอล์มีผลเสียต่อระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ร่างกายไม่สามารถต่อสู้กับเชื้อโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ แอลกอฮอล์ยังทำให้ร่างกายขาดน้ำ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในกระบวนการฟื้นตัวจากโรค โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีไข้ การขาดน้ำอาจทำให้อุณหภูมิของร่างกายสูงขึ้นและอาการแย่ลงได้

 

แอลกอฮอล์ยังมีผลกระทบต่อยาบางชนิดที่ผู้ป่วยได้รับ เช่น ยาปฏิชีวนะ ยาแก้ปวด และยาลดไข้

ซึ่งอาจทำให้ประสิทธิภาพของยาเหล่านั้นลดลง หรือก่อให้เกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ เช่น คลื่นไส้ เวียนศีรษะ หรือแม้กระทั่งอันตรายต่อระบบตับและไต

  1. อาหารมันและของทอด

อาหารมันและของทอด เช่น ไก่ทอด เฟรนช์ฟรายส์ หรือขนมขบเคี้ยวที่มีน้ำมันมาก เป็นอาหารที่ย่อยยากและอาจทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานหนักขึ้นในช่วงที่ร่างกายกำลังอ่อนแอ อาหารประเภทนี้ยังมีไขมันทรานส์

ซึ่งเป็นไขมันชนิดที่ไม่มีประโยชน์และอาจทำให้เกิดการอักเสบในร่างกายมากขึ้น หากผู้ป่วยมีปัญหาเกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร เช่น ท้องอืด ท้องเสีย หรือกรดไหลย้อน การรับประทานอาหารมันจะทำให้อาการเหล่านี้รุนแรงขึ้น

 

นอกจากนี้    ผู้สูงอายุควรใช้เครื่องช่วยฟังแบบไหน    อาหารทอดยังมักปรุงด้วยน้ำมันที่ผ่านการใช้งานซ้ำ ซึ่งอาจมีสารพิษสะสมและส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว รวมถึงอาจทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง

 

  1. เนื้อสัตว์แปรรูป

เนื้อสัตว์แปรรูป เช่น ไส้กรอก แฮม เบคอน และลูกชิ้น เป็นอาหารที่ควรหลีกเลี่ยงในช่วงป่วย เนื่องจากอาหารประเภทนี้มักมีสารกันเสีย เกลือ และสารปรุงรสในปริมาณสูง

ซึ่งอาจทำให้ร่างกายขาดสมดุลและเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดการอักเสบ นอกจากนี้ ปริมาณโซเดียมที่สูงในเนื้อสัตว์แปรรูปยังทำให้ร่างกายเก็บกักน้ำมากขึ้น ส่งผลให้เกิดอาการบวมน้ำ และทำให้การฟื้นตัวช้าลง

 

สารเคมีที่ใช้ในกระบวนการแปรรูปอาหาร เช่น ไนไตรต์และไนเตรต ยังเป็นอันตรายต่อสุขภาพในระยะยาว และอาจทำให้ร่างกายได้รับสารพิษที่ส่งผลกระทบต่อระบบภูมิคุ้มกันในระยะสั้น

 

ในช่วงที่ป่วย การรับประทานอาหารที่เหมาะสมช่วยส่งเสริมการฟื้นตัวของร่างกาย อาหารและเครื่องดื่ม 3 ประเภทที่กล่าวมาข้างต้น เช่น เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อาหารมันของทอด และเนื้อสัตว์แปรรูป

ล้วนส่งผลกระทบในทางลบต่อสุขภาพและควรหลีกเลี่ยงในช่วงที่ร่างกายต้องการฟื้นฟู การเลือกทานอาหารที่ย่อยง่าย มีสารอาหารครบถ้วน และดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอ จะช่วยให้ร่างกายกลับมาสดชื่นและแข็งแรงได้อย่างรวดเร็ว

5 ผลไม้ที่ผู้ป่วยไตวายหรือไตเสื่อมควรหลีกเลี่ยง เพราะเสี่ยงต้องฟอกเลือดฉุกเฉิน

5 ผลไม้ที่ผู้ป่วยไตวายหรือไตเสื่อมควรหลีกเลี่ยง เพราะเสี่ยงต้องฟอกเลือดฉุกเฉิน

โรคไตวายหรือไตเสื่อมเป็นภาวะที่ไตสูญเสียความสามารถในการขับของเสียและรักษาสมดุลของร่างกาย การรับประทานอาหารหรือผลไม้บางชนิดที่มีสารอาหารเกินพอดีอาจทำให้อาการแย่ลง

และเสี่ยงต้องเข้ารับการฟอกเลือดอย่างฉุกเฉิน ผลไม้ต่อไปนี้ควรหลีกเลี่ยงอย่างเด็ดขาดสำหรับผู้ป่วยไตวายหรือไตเสื่อม:

  1. กล้วย

กล้วยเป็นผลไม้ที่มีโพแทสเซียมสูงมาก ซึ่งเป็นอันตรายต่อผู้ป่วยโรคไต เนื่องจากไตที่เสื่อมไม่สามารถขับโพแทสเซียมส่วนเกินออกจากร่างกายได้

โพแทสเซียมที่สะสมในเลือดอาจทำให้เกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะและกล้ามเนื้ออ่อนแรง ในบางกรณีที่รุนแรงอาจทำให้หัวใจหยุดเต้นได้ทันที

 

  1. ทุเรียน 

ทุเรียนมีปริมาณโพแทสเซียมสูงและน้ำตาลในปริมาณมาก น้ำตาลที่สูงเกินไปอาจเพิ่มภาระให้ไตที่ต้องขับน้ำตาลส่วนเกินออก

นอกจากนี้ การบริโภคทุเรียนในปริมาณมากอาจทำให้ระดับโพแทสเซียมในเลือดพุ่งสูงเกินควบคุม เสี่ยงต่อการเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวและต้องฟอกเลือดทันที  

  1. มะม่วงสุก 

มะม่วงสุกมีปริมาณน้ำตาลและโพแทสเซียมสูง ซึ่งไม่เหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคไต น้ำตาลที่มากเกินไปอาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูง

และโพแทสเซียมอาจสะสมในร่างกายจนเป็นอันตราย หากผู้ป่วยมีภาวะไตเสื่อมอย่างรุนแรง การรับประทานมะม่วงสุกอาจทำให้อาการทรุดหนักลง  

  1. องุ่น 

องุ่นเป็นผลไม้ที่มีน้ำตาลสูง และยังมีโพแทสเซียมในปริมาณที่อาจเป็นอันตรายต่อผู้ป่วยโรคไต การรับประทานองุ่น

โดยไม่มีการควบคุมปริมาณอาจทำให้ไตต้องทำงานหนักขึ้น และเสี่ยงต่อการเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวหรือสมดุลแร่ธาตุในร่างกายผิดปกติ  

  1. แก้วมังกร 

แม้ว่าแก้วมังกรจะถูกมองว่าเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์ แต่สำหรับผู้ป่วยโรคไต การรับประทานแก้วมังกรอาจเพิ่มความเสี่ยงของโพแทสเซียมส่วนเกินในร่างกาย และอาจทำให้เกิดภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรงหรือหัวใจหยุดเต้นอย่างกะทันหัน  

 

เหตุผลที่ผลไม้เหล่านี้มีความอันตราย 

ผู้ป่วยโรคไตต้องควบคุมการบริโภคสารอาหาร เช่น โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส และน้ำตาล เนื่องจากไตที่ทำงานผิดปกติไม่สามารถขับสารเหล่านี้ออกได้อย่างมีประสิทธิภาพ การสะสมของสารอาหารเหล่านี้อาจส่งผลกระทบร้ายแรงต่อร่างกาย เช่น ภาวะโพแทสเซียมในเลือดสูง ภาวะหัวใจล้มเหลว หรือสมดุลของเหลวในร่างกายผิดปกติ  

 

คำแนะนำสำหรับผู้ป่วยโรคไต 

– ควรปรึกษาแพทย์หรือนักโภชนาการเพื่อกำหนดแผนการรับประทานอาหารที่เหมาะสม  

– หลีกเลี่ยงผลไม้ที่มีโพแทสเซียมและน้ำตาลสูง  

– หากไม่แน่ใจเกี่ยวกับการบริโภคอาหาร ควรขอคำแนะนำเพิ่มเติมเพื่อป้องกันภาวะรุนแรงที่อาจเกิดขึ้น  

 

อย่างไรก็ตาม  หูตึงรักษาหายไหม    การดูแลตัวเองอย่างเหมาะสมจะช่วยลดความเสี่ยงและยังสามารถที่จะช่วยป้องกันการเกิดภาวะไตวายเฉียบพลันได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย

บาร์ ณ ฮานอย  ที่เป็นที่ยอดฮิตที่สุดในช่วงนี้

1.เดอะ เพลเยอร์ ค็อกเทล บาร์  

สัมผัสมนต์เสน่ห์ของ The Player Cocktail Bar หนึ่งในบาร์ที่ดีที่สุดของฮานอย ตั้งอยู่ใกล้กับ Summit Bar พร้อมบรรยากาศสบายๆ และอาหารจากวิสกี้

ให้พนักงานที่เป็นมิตรและดนตรีอันไพเราะพาคุณเข้าสู่อาณาจักรแห่งการพักผ่อน ลิ้มรสคอลเลกชันเตกีล่าและวิสกี้ที่น่าประทับใจ ในขณะที่นักผสมเครื่องดื่มที่เจ๋งที่สุดที่มีความสามารถสูงสุดจะปรุงค็อกเทลที่มีศิลปะ 

  ดื่มด่ำไปกับท่วงทำนองอันเปี่ยมด้วยจิตวิญญาณของการแสดงดนตรีแจ๊สสดโดยนักดนตรีแจ๊สในท้องถิ่นและนักแซ็กโซโฟนชื่อดังชาวเวียดนาม

ดื่มด่ำกับค็อกเทลที่สมดุลอย่างเชี่ยวชาญโดยบาร์เทนเดอร์มากความสามารถ และค้นพบหนึ่งในค็อกเทลบาร์ที่ดีที่สุดของฮานอย ที่ซึ่งบรรยากาศ ความสามารถ และความทุ่มเทมาบรรจบกันเพื่อประสบการณ์สุดพิเศษ

หลีกหนีจากค่ำคืนแห่งดนตรีแจ๊สอันน่าจดจำที่ The Player Cocktail Bar สถานที่พักผ่อนที่สมบูรณ์แบบสำหรับการผ่อนคลายตามลำพังหรือเพลิดเพลินกับกลุ่มเพื่อนหลังจากวันที่ยาวนาน    

 

2.ฮานอยเฮาส์คาเฟ่ – บาร์ค็อกเทล  

ค้นพบเสน่ห์ที่ซ่อนอยู่ของ Hanoi House Cafe หนึ่งในบาร์ที่ดีที่สุดในฮานอย ซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามมหาวิหารเซนต์โจเซฟ สถานที่อันทันสมัยแห่งนี้นำเสนอการผสมผสานที่ลงตัวของค็อกเทลชั้นเลิศที่ปรุงจากวัตถุดิบในท้องถิ่นและรูปแบบที่นั่งที่ระเบียง

ทำให้มองเห็นทิวทัศน์อันงดงามของมหาวิหาร   ก้าวเข้าสู่ Hanoi House Café และดื่มด่ำไปกับจิตวิญญาณของฮานอย

ที่ซึ่งความคิดถึงมาบรรจบกับบรรยากาศชวนฝัน คาเฟ่ที่ตกแต่งอย่างมีสไตล์แห่งนี้ตั้งอยู่ภายในบ้านสไตล์โคโลเนียลที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดี

ขอเชิญคุณดื่มด่ำกับค็อกเทลชั้นเลิศ เครื่องดื่มสไตล์เวียดนาม การตกแต่งภายในสไตล์ชนบทฝรั่งเศสสุดเก๋ และบรรยากาศสบาย ๆ ด้วยเพลงอันไพเราะ

เครื่องดื่มชั้นเลิศ วิวโบสถ์ที่สวยงาม ทะเลสาบ Hoan Kiem ที่อยู่ใกล้เคียง และการตกแต่งสไตล์วินเทจ Hanoi House Café กลายเป็นห้องนั่งเล่นของคุณเองในใจกลางเมืองหลวง   

3.ทาดิโอโต  

เริ่มต้นการเดินทางของคุณสู่ประสบการณ์ศิลปะครั้งหนึ่งในชีวิตที่ Tadioto หนึ่งในบาร์ที่ดีที่สุดในฮานอยซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับ Binh Minh Jazz Club บาร์สุดทันสมัยแห่งนี้คัดสรรเมนูวิสกี้ ไวน์ และค็อกเทลคลาสสิกชั้นเลิศที่คัดสรรมาอย่างดี รวมถึงอาหารญี่ปุ่นคลาสสิก Tadioto

นำเสนอบรรยากาศสุดฮิปและเก๋ไก๋ ดึงดูดนักผจญภัยเดี่ยว คู่รัก และกลุ่มเพื่อนให้มาเพลิดเพลินกับคราฟต์เบียร์ ค็อกเทลคลาสสิก

และอาหารเวียดนามและญี่ปุ่นรสเลิศในราคาที่สมเหตุสมผล    ดื่มด่ำไปกับบรรยากาศโบฮีเมียนของ Tadioto ซึ่งดูแลโดย Nguyen Qui Duc เป็นบาร์ยอดนิยมสำหรับศิลปินและปัญญาชนในบาร์ในฮานอย

สถานที่ที่เก๋ไก๋และสะดวกสบายแห่งนี้ผสมผสานดนตรีอันไพเราะและการตกแต่งแบบชนบทที่ประดับประดาด้วยวัตถุศิลปะและภาพวาดนามธรรม Tadioto เป็นหนึ่งในบาร์ชั้นนำของฮานอย

เป็นที่จัดการอ่านบทกวี นิทรรศการศิลปะ และการแสดงดนตรีแนวทดลอง ทำให้ที่นี่เป็นสวรรค์ของศิลปิน  

 

สนับสนุนเนื้อเรื่องโดย    เครื่องช่วยฟังฟรี

การทำ IF เพื่อลดน้ำหนักอย่างมีประสิทธิภาพ  

Intermittent Fasting (IF) หรือการกินอาหารแบบจำกัดช่วงเวลา เป็นหนึ่งในวิธีลดน้ำหนักที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน โดยการทำ IF นั้นนอกจากจะช่วยควบคุมปริมาณแคลอรีในแต่ละวันแล้ว

ยังช่วยปรับระบบการเผาผลาญของร่างกายให้อยู่ในสภาวะที่เหมาะสมต่อการลดน้ำหนัก โดยเฉพาะหากมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคควบคู่กันอย่างเหมาะสม  

 

หลักการทำ IF ร่วมกับการปรับอาหาร  

หนึ่งในวิธีที่ช่วยให้การทำ IF มีประสิทธิภาพและน้ำหนักลดลงได้เร็วขึ้น คือการลดการบริโภคอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูง เช่น ข้าว แป้ง และน้ำตาล

เนื่องจากอาหารเหล่านี้เป็นแหล่งพลังงานที่ร่างกายสามารถย่อยและดูดซึมได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและลดลงเร็ว ทำให้รู้สึกหิวบ่อยและรับประทานอาหารเกินความจำเป็น  

แทนที่จะบริโภคอาหารกลุ่มคาร์โบไฮเดรตดังกล่าว ควรเลือกเพิ่มการบริโภคผัก ผลไม้ และโปรตีนคุณภาพสูง เช่น  

  1. ผักและผลไม้: เลือกผักที่มีไฟเบอร์สูง เช่น บร็อคโคลี, ผักโขม, แครอท และแตงกวา รวมถึงผลไม้ที่มีน้ำตาลต่ำ เช่น แอปเปิล, สตรอว์เบอร์รี และฝรั่ง เพราะช่วยให้อิ่มท้องนาน และไฟเบอร์ยังช่วยเรื่องระบบย่อยอาหาร  
  2. โปรตีน: เลือกโปรตีนจากเนื้อสัตว์ไขมันต่ำ เช่น อกไก่, ปลาแซลมอน หรือเนื้อหมูไม่ติดมัน รวมถึงโปรตีนจากพืช เช่น ถั่วชนิดต่างๆ และเต้าหู้  
  3. ไขมันดี: เพิ่มไขมันดีจากอะโวคาโด, ถั่วอัลมอนด์ หรือเมล็ดเจีย เพื่อช่วยให้ร่างกายมีพลังงานและรู้สึกอิ่ม  

 

ประโยชน์ของการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค  

– การลดน้ำตาลในเลือด: เมื่อบริโภคอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตต่ำ ร่างกายจะไม่ต้องหลั่งอินซูลินมากเกินไป ช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะดื้อต่ออินซูลิน ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุของโรคอ้วน  

– กระตุ้นการเผาผลาญไขมัน: การทำ IF จะช่วยให้ร่างกายใช้ไขมันที่สะสมเป็นแหล่งพลังงานได้ดีขึ้น โดยเฉพาะเมื่อบริโภคโปรตีนและไขมันดีเป็นหลัก  

– เพิ่มความอิ่มท้อง: อาหารที่มีไฟเบอร์สูงและโปรตีนจะช่วยให้รู้สึกอิ่มนาน ลดความอยากอาหารระหว่างมื้อ  

 

ตัวอย่างวิธีทำ IF ควบคู่กับการปรับอาหาร  

– ช่วงเวลาการกิน (Eating Window): เริ่มต้นที่ 8 ชั่วโมง เช่น กินอาหารระหว่าง 10:00 น. – 18:00 น. และอดอาหาร (Fasting) 16 ชั่วโมง  

– มื้ออาหาร  

– มื้อแรก (10:00 น.): ไข่ต้ม 2 ฟอง, ผักสลัด, และอะโวคาโด  

 – มื้อกลางวัน (14:00 น.): อกไก่ย่าง, บร็อคโคลีลวก และฝรั่ง  

 – มื้อสุดท้าย (17:30 น.): ปลาย่าง, ผักโขม และถั่วอัลมอนด์  

 

ข้อควรระวัง  

แม้ว่าการทำ IF ร่วมกับการลดข้าว แป้ง และน้ำตาลจะช่วยให้น้ำหนักลดลงได้เร็ว แต่ควรปฏิบัติอย่างสมดุลและไม่ควรอดอาหารจนเกิน

เพราะอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพ เช่น อาการอ่อนเพลีย หรือระบบเผาผลาญที่ทำงานผิดปกติ หากมีปัญหาสุขภาพหรือข้อสงสัย ควรปรึกษาแพทย์หรือนักโภชนาการเพื่อคำแนะนำที่เหมาะสม  

การทำ IF อย่างถูกวิธีและปรับอาหารให้เหมาะสมจะช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายในการลดน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน!

 

ขอบคุณผู้ให้การสนับสนุนโดย      เครื่องช่วยฟังที่เสียงรบกวนน้อยที่สุด