Category Archives: ข่าวสารทั่วไป

ประวัติรถคาดิแลค (Cadillac) 

 

คาดิแลค  เป็นหนึ่งในแบรนด์รถยนต์สุดหรูสัญชาติอเมริกันที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2445 (ค.ศ. 1902)

โดยวิลเลียม เมอร์ฟี เลมิวเอล โบว์น และเฮนรี ลีแลนด์ บริษัทตั้งชื่อแบรนด์ตามอองตัวน เดอ ลา มอธ คาดิ ผู้ก่อตั้งเมืองดีทรอยต์ รัฐมิชิแกน สหรัฐอเมริกา  

 

คาดิแลคเกิดขึ้นหลังจากเฮนรี ฟอร์ด ลาออกจากบริษัทเดิม ทำให้ผู้ก่อตั้งบริษัทคนอื่น ๆ หันไปจ้างเฮนรี ลีแลนด์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเครื่องยนต์ เพื่อประเมินมูลค่าทรัพย์สินของบริษัท

แต่สุดท้าย ลีแลนด์ได้แนะนำให้สร้างรถยนต์รุ่นใหม่แทนการเลิกกิจการ นั่นจึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นของคาดิแลค ซึ่งมุ่งเน้นการผลิตรถยนต์คุณภาพสูงและเทคโนโลยีล้ำสมัย  

 

คาดิแลคสร้างชื่อเสียงด้วยการเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมตั้งแต่ยุคแรก ๆ ตัวอย่างเช่น ในปี พ.ศ. 2455 (ค.ศ. 1912) คาดิแลคเป็นบริษัทแรกที่นำระบบสตาร์ทไฟฟ้ามาใช้แทนการสตาร์ทด้วยมือหมุนแบบเก่า

ซึ่งถือเป็นการปฏิวัติวงการรถยนต์ และในปี พ.ศ. 2461 (ค.ศ. 1918) คาดิแลคได้เปิดตัวเครื่องยนต์ V8 ซึ่งช่วยให้รถยนต์สามารถทำความเร็วได้สูงขึ้นและประหยัดพลังงานมากขึ้น  

ช่วงทศวรรษ 1930 คาดิแลคกลายเป็นสัญลักษณ์ของความหรูหรา

โดยมีการออกแบบที่โดดเด่นและล้ำสมัย เช่น กระจังหน้าสไตล์คลาสสิก ตัวถังที่ยาวสง่างาม และการใช้สีเมทัลลิกเงางามที่หรูหรา รถยนต์คาดิแลคจึงกลายเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งของบุคคลสำคัญ นักการเมือง และดาราฮอลลีวูด  

 

รถยนต์คาดิแลคเป็นสัญลักษณ์ของความหรูหราและความสำเร็จในสังคมอเมริกัน โดยเฉพาะช่วงทศวรรษ 1950 และ 1960 ซึ่งถือเป็นยุคทองของแบรนด์ ด้วยการเปิดตัวรุ่น Eldorado และ DeVille ซึ่งมีดีไซน์โดดเด่นด้วยครีบหลังขนาดใหญ่และตัวถังที่โค้งมนตามสไตล์อเมริกันคลาสสิก  

 

นอกจากดีไซน์ที่หรูหราแล้ว คาดิแลคยังเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีเสมอมา เช่น ระบบกันสะเทือนอากาศ ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ และระบบเครื่องเสียงคุณภาพสูง นวัตกรรมเหล่านี้ช่วยให้คาดิแลคเป็นแบรนด์ที่ได้รับความนิยมอย่างยาวนาน  

 

ในยุคปัจจุบัน คาดิแลคยังคงรักษาภาพลักษณ์ความหรูหรา แต่ปรับตัวให้เข้ากับเทรนด์ใหม่ ๆ เช่น การผลิตรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ SUV ที่ตอบโจทย์ตลาดได้ดียิ่งขึ้น รถยนต์รุ่นใหม่ ๆ

อย่าง Cadillac Escalade และ Cadillac Lyriq ซึ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกของบริษัท แสดงให้เห็นถึงการมุ่งสู่อนาคตของแบรนด์ที่เน้นความยั่งยืนและนวัตกรรม  

นอกจากนี้ คาดิแลคยังเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีขับเคลื่อนอัตโนมัติ  โดยมีระบบ Super Cruise ซึ่งเป็นระบบขับขี่อัตโนมัติที่ล้ำสมัยและได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในอุตสาหกรรมรถยนต์  

 

คาดิแลคไม่เพียงเป็นแบรนด์รถยนต์ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 100 ปี แต่ยังเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมและสัญลักษณ์ของความหรูหราในวงการยานยนต์เสมอมา

แม้จะเผชิญความท้าทายจากการแข่งขันในตลาดรถยนต์ระดับหรู คาดิแลคก็ยังคงพัฒนาและปรับตัวอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาความเป็นผู้นำในยุคที่อุตสาหกรรมยานยนต์เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว  

 

สนับสนุนโดย      เครื่องช่วยฟังยี่ห้อไหนดี

อาหารและเครื่องดื่มที่ควรหลีกเลี่ยงเมื่อป่วย

การเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสมมีความสำคัญอย่างยิ่งในช่วงที่ร่างกายกำลังป่วย เพราะอาหารบางชนิดอาจทำให้อาการแย่ลงหรือขัดขวางกระบวนการฟื้นฟูของร่างกาย

ดังนั้น การหลีกเลี่ยงอาหารและเครื่องดื่มบางประเภทจึงช่วยเสริมสร้างสุขภาพให้กลับมาดีขึ้นได้เร็วขึ้น ต่อไปนี้คืออาหาร 3 ประเภทที่ไม่ควรบริโภคในช่วงป่วย

 

  1. เครื่องดื่มแอลกอฮอล์

เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เช่น เบียร์ ไวน์ และสุรา เป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงอย่างยิ่งเมื่อป่วย เนื่องจากแอลกอฮอล์มีผลเสียต่อระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ร่างกายไม่สามารถต่อสู้กับเชื้อโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ แอลกอฮอล์ยังทำให้ร่างกายขาดน้ำ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในกระบวนการฟื้นตัวจากโรค โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีไข้ การขาดน้ำอาจทำให้อุณหภูมิของร่างกายสูงขึ้นและอาการแย่ลงได้

 

แอลกอฮอล์ยังมีผลกระทบต่อยาบางชนิดที่ผู้ป่วยได้รับ เช่น ยาปฏิชีวนะ ยาแก้ปวด และยาลดไข้

ซึ่งอาจทำให้ประสิทธิภาพของยาเหล่านั้นลดลง หรือก่อให้เกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ เช่น คลื่นไส้ เวียนศีรษะ หรือแม้กระทั่งอันตรายต่อระบบตับและไต

  1. อาหารมันและของทอด

อาหารมันและของทอด เช่น ไก่ทอด เฟรนช์ฟรายส์ หรือขนมขบเคี้ยวที่มีน้ำมันมาก เป็นอาหารที่ย่อยยากและอาจทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานหนักขึ้นในช่วงที่ร่างกายกำลังอ่อนแอ อาหารประเภทนี้ยังมีไขมันทรานส์

ซึ่งเป็นไขมันชนิดที่ไม่มีประโยชน์และอาจทำให้เกิดการอักเสบในร่างกายมากขึ้น หากผู้ป่วยมีปัญหาเกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร เช่น ท้องอืด ท้องเสีย หรือกรดไหลย้อน การรับประทานอาหารมันจะทำให้อาการเหล่านี้รุนแรงขึ้น

 

นอกจากนี้    ผู้สูงอายุควรใช้เครื่องช่วยฟังแบบไหน    อาหารทอดยังมักปรุงด้วยน้ำมันที่ผ่านการใช้งานซ้ำ ซึ่งอาจมีสารพิษสะสมและส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว รวมถึงอาจทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง

 

  1. เนื้อสัตว์แปรรูป

เนื้อสัตว์แปรรูป เช่น ไส้กรอก แฮม เบคอน และลูกชิ้น เป็นอาหารที่ควรหลีกเลี่ยงในช่วงป่วย เนื่องจากอาหารประเภทนี้มักมีสารกันเสีย เกลือ และสารปรุงรสในปริมาณสูง

ซึ่งอาจทำให้ร่างกายขาดสมดุลและเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดการอักเสบ นอกจากนี้ ปริมาณโซเดียมที่สูงในเนื้อสัตว์แปรรูปยังทำให้ร่างกายเก็บกักน้ำมากขึ้น ส่งผลให้เกิดอาการบวมน้ำ และทำให้การฟื้นตัวช้าลง

 

สารเคมีที่ใช้ในกระบวนการแปรรูปอาหาร เช่น ไนไตรต์และไนเตรต ยังเป็นอันตรายต่อสุขภาพในระยะยาว และอาจทำให้ร่างกายได้รับสารพิษที่ส่งผลกระทบต่อระบบภูมิคุ้มกันในระยะสั้น

 

ในช่วงที่ป่วย การรับประทานอาหารที่เหมาะสมช่วยส่งเสริมการฟื้นตัวของร่างกาย อาหารและเครื่องดื่ม 3 ประเภทที่กล่าวมาข้างต้น เช่น เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อาหารมันของทอด และเนื้อสัตว์แปรรูป

ล้วนส่งผลกระทบในทางลบต่อสุขภาพและควรหลีกเลี่ยงในช่วงที่ร่างกายต้องการฟื้นฟู การเลือกทานอาหารที่ย่อยง่าย มีสารอาหารครบถ้วน และดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอ จะช่วยให้ร่างกายกลับมาสดชื่นและแข็งแรงได้อย่างรวดเร็ว

5 ผลไม้ที่ผู้ป่วยไตวายหรือไตเสื่อมควรหลีกเลี่ยง เพราะเสี่ยงต้องฟอกเลือดฉุกเฉิน

5 ผลไม้ที่ผู้ป่วยไตวายหรือไตเสื่อมควรหลีกเลี่ยง เพราะเสี่ยงต้องฟอกเลือดฉุกเฉิน

โรคไตวายหรือไตเสื่อมเป็นภาวะที่ไตสูญเสียความสามารถในการขับของเสียและรักษาสมดุลของร่างกาย การรับประทานอาหารหรือผลไม้บางชนิดที่มีสารอาหารเกินพอดีอาจทำให้อาการแย่ลง

และเสี่ยงต้องเข้ารับการฟอกเลือดอย่างฉุกเฉิน ผลไม้ต่อไปนี้ควรหลีกเลี่ยงอย่างเด็ดขาดสำหรับผู้ป่วยไตวายหรือไตเสื่อม:

  1. กล้วย

กล้วยเป็นผลไม้ที่มีโพแทสเซียมสูงมาก ซึ่งเป็นอันตรายต่อผู้ป่วยโรคไต เนื่องจากไตที่เสื่อมไม่สามารถขับโพแทสเซียมส่วนเกินออกจากร่างกายได้

โพแทสเซียมที่สะสมในเลือดอาจทำให้เกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะและกล้ามเนื้ออ่อนแรง ในบางกรณีที่รุนแรงอาจทำให้หัวใจหยุดเต้นได้ทันที

 

  1. ทุเรียน 

ทุเรียนมีปริมาณโพแทสเซียมสูงและน้ำตาลในปริมาณมาก น้ำตาลที่สูงเกินไปอาจเพิ่มภาระให้ไตที่ต้องขับน้ำตาลส่วนเกินออก

นอกจากนี้ การบริโภคทุเรียนในปริมาณมากอาจทำให้ระดับโพแทสเซียมในเลือดพุ่งสูงเกินควบคุม เสี่ยงต่อการเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวและต้องฟอกเลือดทันที  

  1. มะม่วงสุก 

มะม่วงสุกมีปริมาณน้ำตาลและโพแทสเซียมสูง ซึ่งไม่เหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคไต น้ำตาลที่มากเกินไปอาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูง

และโพแทสเซียมอาจสะสมในร่างกายจนเป็นอันตราย หากผู้ป่วยมีภาวะไตเสื่อมอย่างรุนแรง การรับประทานมะม่วงสุกอาจทำให้อาการทรุดหนักลง  

  1. องุ่น 

องุ่นเป็นผลไม้ที่มีน้ำตาลสูง และยังมีโพแทสเซียมในปริมาณที่อาจเป็นอันตรายต่อผู้ป่วยโรคไต การรับประทานองุ่น

โดยไม่มีการควบคุมปริมาณอาจทำให้ไตต้องทำงานหนักขึ้น และเสี่ยงต่อการเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวหรือสมดุลแร่ธาตุในร่างกายผิดปกติ  

  1. แก้วมังกร 

แม้ว่าแก้วมังกรจะถูกมองว่าเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์ แต่สำหรับผู้ป่วยโรคไต การรับประทานแก้วมังกรอาจเพิ่มความเสี่ยงของโพแทสเซียมส่วนเกินในร่างกาย และอาจทำให้เกิดภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรงหรือหัวใจหยุดเต้นอย่างกะทันหัน  

 

เหตุผลที่ผลไม้เหล่านี้มีความอันตราย 

ผู้ป่วยโรคไตต้องควบคุมการบริโภคสารอาหาร เช่น โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส และน้ำตาล เนื่องจากไตที่ทำงานผิดปกติไม่สามารถขับสารเหล่านี้ออกได้อย่างมีประสิทธิภาพ การสะสมของสารอาหารเหล่านี้อาจส่งผลกระทบร้ายแรงต่อร่างกาย เช่น ภาวะโพแทสเซียมในเลือดสูง ภาวะหัวใจล้มเหลว หรือสมดุลของเหลวในร่างกายผิดปกติ  

 

คำแนะนำสำหรับผู้ป่วยโรคไต 

– ควรปรึกษาแพทย์หรือนักโภชนาการเพื่อกำหนดแผนการรับประทานอาหารที่เหมาะสม  

– หลีกเลี่ยงผลไม้ที่มีโพแทสเซียมและน้ำตาลสูง  

– หากไม่แน่ใจเกี่ยวกับการบริโภคอาหาร ควรขอคำแนะนำเพิ่มเติมเพื่อป้องกันภาวะรุนแรงที่อาจเกิดขึ้น  

 

อย่างไรก็ตาม  หูตึงรักษาหายไหม    การดูแลตัวเองอย่างเหมาะสมจะช่วยลดความเสี่ยงและยังสามารถที่จะช่วยป้องกันการเกิดภาวะไตวายเฉียบพลันได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย

การทำ IF เพื่อลดน้ำหนักอย่างมีประสิทธิภาพ  

Intermittent Fasting (IF) หรือการกินอาหารแบบจำกัดช่วงเวลา เป็นหนึ่งในวิธีลดน้ำหนักที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน โดยการทำ IF นั้นนอกจากจะช่วยควบคุมปริมาณแคลอรีในแต่ละวันแล้ว

ยังช่วยปรับระบบการเผาผลาญของร่างกายให้อยู่ในสภาวะที่เหมาะสมต่อการลดน้ำหนัก โดยเฉพาะหากมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคควบคู่กันอย่างเหมาะสม  

 

หลักการทำ IF ร่วมกับการปรับอาหาร  

หนึ่งในวิธีที่ช่วยให้การทำ IF มีประสิทธิภาพและน้ำหนักลดลงได้เร็วขึ้น คือการลดการบริโภคอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูง เช่น ข้าว แป้ง และน้ำตาล

เนื่องจากอาหารเหล่านี้เป็นแหล่งพลังงานที่ร่างกายสามารถย่อยและดูดซึมได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและลดลงเร็ว ทำให้รู้สึกหิวบ่อยและรับประทานอาหารเกินความจำเป็น  

แทนที่จะบริโภคอาหารกลุ่มคาร์โบไฮเดรตดังกล่าว ควรเลือกเพิ่มการบริโภคผัก ผลไม้ และโปรตีนคุณภาพสูง เช่น  

  1. ผักและผลไม้: เลือกผักที่มีไฟเบอร์สูง เช่น บร็อคโคลี, ผักโขม, แครอท และแตงกวา รวมถึงผลไม้ที่มีน้ำตาลต่ำ เช่น แอปเปิล, สตรอว์เบอร์รี และฝรั่ง เพราะช่วยให้อิ่มท้องนาน และไฟเบอร์ยังช่วยเรื่องระบบย่อยอาหาร  
  2. โปรตีน: เลือกโปรตีนจากเนื้อสัตว์ไขมันต่ำ เช่น อกไก่, ปลาแซลมอน หรือเนื้อหมูไม่ติดมัน รวมถึงโปรตีนจากพืช เช่น ถั่วชนิดต่างๆ และเต้าหู้  
  3. ไขมันดี: เพิ่มไขมันดีจากอะโวคาโด, ถั่วอัลมอนด์ หรือเมล็ดเจีย เพื่อช่วยให้ร่างกายมีพลังงานและรู้สึกอิ่ม  

 

ประโยชน์ของการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค  

– การลดน้ำตาลในเลือด: เมื่อบริโภคอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตต่ำ ร่างกายจะไม่ต้องหลั่งอินซูลินมากเกินไป ช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะดื้อต่ออินซูลิน ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุของโรคอ้วน  

– กระตุ้นการเผาผลาญไขมัน: การทำ IF จะช่วยให้ร่างกายใช้ไขมันที่สะสมเป็นแหล่งพลังงานได้ดีขึ้น โดยเฉพาะเมื่อบริโภคโปรตีนและไขมันดีเป็นหลัก  

– เพิ่มความอิ่มท้อง: อาหารที่มีไฟเบอร์สูงและโปรตีนจะช่วยให้รู้สึกอิ่มนาน ลดความอยากอาหารระหว่างมื้อ  

 

ตัวอย่างวิธีทำ IF ควบคู่กับการปรับอาหาร  

– ช่วงเวลาการกิน (Eating Window): เริ่มต้นที่ 8 ชั่วโมง เช่น กินอาหารระหว่าง 10:00 น. – 18:00 น. และอดอาหาร (Fasting) 16 ชั่วโมง  

– มื้ออาหาร  

– มื้อแรก (10:00 น.): ไข่ต้ม 2 ฟอง, ผักสลัด, และอะโวคาโด  

 – มื้อกลางวัน (14:00 น.): อกไก่ย่าง, บร็อคโคลีลวก และฝรั่ง  

 – มื้อสุดท้าย (17:30 น.): ปลาย่าง, ผักโขม และถั่วอัลมอนด์  

 

ข้อควรระวัง  

แม้ว่าการทำ IF ร่วมกับการลดข้าว แป้ง และน้ำตาลจะช่วยให้น้ำหนักลดลงได้เร็ว แต่ควรปฏิบัติอย่างสมดุลและไม่ควรอดอาหารจนเกิน

เพราะอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพ เช่น อาการอ่อนเพลีย หรือระบบเผาผลาญที่ทำงานผิดปกติ หากมีปัญหาสุขภาพหรือข้อสงสัย ควรปรึกษาแพทย์หรือนักโภชนาการเพื่อคำแนะนำที่เหมาะสม  

การทำ IF อย่างถูกวิธีและปรับอาหารให้เหมาะสมจะช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายในการลดน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน!

 

ขอบคุณผู้ให้การสนับสนุนโดย      เครื่องช่วยฟังที่เสียงรบกวนน้อยที่สุด

3  วิธีช่วยลดความดันโลหิตสูงให้หายขาด

ความดันโลหิตสูงเป็นปัญหาสุขภาพที่พบได้ทั่วไป ซึ่งอาจนำไปสู่โรคร้ายแรง เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไต และโรคหลอดเลือดสมอง

อย่างไรก็ตาม การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและการใช้ชีวิตสามารถช่วยลดและควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในระดับปกติ และในบางกรณีอาจช่วยลดความดันโลหิตสูงให้หายขาดได้ โดยเน้นการปรับเปลี่ยนใน 3 ด้านสำคัญ ได้แก่ ลดเค็ม ลดโซเดียม ลดเครียด และลดน้ำหนัก  

  1. ลดเค็ม ลดโซเดียม  

โซเดียมเป็นแร่ธาตุที่สำคัญต่อร่างกาย แต่การบริโภคโซเดียมในปริมาณที่มากเกินไป โดยเฉพาะจากเกลือและอาหารแปรรูป เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น การลดการบริโภคโซเดียมช่วยลดแรงดันในหลอดเลือด และลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนจากความดันโลหิตสูงได้  

– วิธีลดเค็มและโซเดียม 

  – เลือกอาหารสดและปรุงอาหารเองแทนการทานอาหารแปรรูปหรืออาหารสำเร็จรูป  

  – ลดการเติมเครื่องปรุงรสที่มีโซเดียมสูง เช่น ซีอิ๊ว น้ำปลา และซอสปรุงรส  

  – อ่านฉลากโภชนาการ เลือกผลิตภัณฑ์ที่มีโซเดียมต่ำ  

การลดเค็มและโซเดียมอย่างค่อยเป็นค่อยไปช่วยให้ลิ้นปรับตัวและลดความอยากอาหารรสเค็มลง ซึ่งส่งผลดีต่อการลดความดันโลหิตในระยะยาว  

 

  1. ลดเครียด 

ความเครียดเป็นตัวกระตุ้นให้ความดันโลหิตพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนที่เพิ่มแรงดันในหลอดเลือด และหากความเครียดเกิดขึ้นเป็นเวลานาน อาจส่งผลเสียต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด  

– วิธีลดความเครียด 

  – การทำสมาธิและโยคะ: ช่วยให้จิตใจสงบ ลดการหลั่งฮอร์โมนความเครียด  

  – การออกกำลังกาย: ช่วยกระตุ้นการหลั่งสารเอ็นโดรฟินที่ช่วยผ่อนคลายความเครียด  

  – จัดการเวลาและภาระงาน วางแผนกิจกรรมประจำวันเพื่อลดแรงกดดันในชีวิต  การจัดการความเครียดอย่างมีประสิทธิภาพช่วยลดความดันโลหิตและส่งเสริมสุขภาพหัวใจ 

 

  1. ลดน้ำหนัก 

น้ำหนักตัวที่เกินมาตรฐานเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้ความดันโลหิตเพิ่มสูงขึ้น การลดน้ำหนักช่วยลดแรงดันในหลอดเลือด และยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของระบบการทำงานในร่างกาย  

– วิธีลดน้ำหนักอย่างปลอดภัย 

  – ปรับอาหาร: เพิ่มผัก ผลไม้ และอาหารที่มีไฟเบอร์สูง ลดไขมันและน้ำตาล  

  – ออกกำลังกายสม่ำเสมอ: เดินเร็ว วิ่ง หรือออกกำลังกายแบบคาร์ดิโออย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์  

  – ตั้งเป้าหมายเล็ก ๆ: ลดน้ำหนักเพียง 5-10% ของน้ำหนักตัวเดิมก็สามารถช่วยลดความดันโลหิตได้  

การลดเค็ม ลดโซเดียม ลดเครียด และลดน้ำหนัก เป็น 3 ปัจจัยสำคัญที่สามารถช่วยลดความดันโลหิตสูงได้อย่างมีประสิทธิภาพ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวันอย่างต่อเนื่อง ไม่เพียงแต่ช่วยควบคุมความดันโลหิต

แต่ยังส่งเสริมสุขภาพในระยะยาวและลดความเสี่ยงของโรคแทรกซ้อน การเริ่มต้นตั้งแต่วันนี้ คือก้าวแรกสู่สุขภาพที่ดีและการมีชีวิตยืนยาว! 

 

 

สนับสนุนโดย    เครื่องช่วยฟังแบบชาร์จ

หลักการเลือกซื้อรถยนต์

รถยนต์ เป็นภาหนะที่ใช้สำหรับในการเดินทาง ซึ่งในอดีตตั้งแต่ยุคโบราณนั้นหากต้องมีการเดินทางไกล แต่ไม่มีรถยนต์ใช้งานก็จะมีการแรงงานของสัตว์แทน ไม่ว่าจะเป็น ม้า ช้าง หรือ วัว และควาย

  ต่อมาเมื่อโลกมีวิวัฒนาการมากขึ้น มีการผลิตรถยนต์ออกมาใช้ ผู้คนจึงให้ความสำคัญกับภาหนะการเดินทางที่เราเรียกกันว่ารถยนต์นับตั้งแต่นั้นมา 

เนื่องจากว่ารถยนต์สามารถอำนวยความสะดวกให้กับคนที่ต้องเดินทางไกลๆได้เป็นอย่างดี และที่สำคัญหากเดินทางด้วยรถยนต์ก็จะสามารถลดเวลาในการเดินทางได้ รวมถึงเดินทางไปถึงที่หมายปลายทางได้อย่างรวดเร็ว 

 

อย่างไรก็ตาม    เครื่องช่วยฟังแบบไหนดี      สำหรับบทความนี้เราจะมาแนะนำเกี่ยวกับการพิจารณาการเลือกซื้อรถยนต์ว่าเราควรมีหลักการ

อย่างไรในการตัดสินใจซื้อรถยนต์มาใช้สักคัน เพราะอย่างที่เรารู้กันดีว่ารถยนต์แต่ละคันนั้นมีราคาที่ค่อนข้างสูงมากๆ 

การซื้อรถยนต์ใช้งานเป็นการตัดสินใจที่สำคัญและต้องพิจารณาหลายปัจจัยเพื่อให้ได้รถที่ตรงกับความต้องการและงบประมาณของคุณ นี่คือปัจจัยที่ควรพิจารณา:

  1. งบประมาณ: กำหนดงบประมาณในการซื้อรถ รวมถึงค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม เช่น ภาษี ประกันภัย และค่าบำรุงรักษา
  2. ประเภทของรถ: พิจารณาว่าคุณต้องการรถประเภทใด เช่น รถเก๋ง รถกระบะ รถ SUV หรือรถยนต์ไฟฟ้า ขึ้นอยู่กับการใช้งานและความต้องการของคุณ
  3. ความประหยัดน้ำมัน: รถยนต์ที่ประหยัดน้ำมันจะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการใช้งานในระยะยาว ตรวจสอบอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันของรถแต่ละรุ่น
  4. ความน่าเชื่อถือและความทนทาน: เลือกรถที่มีชื่อเสียงในเรื่องความน่าเชื่อถือและมีประวัติการใช้งานที่ดี ควรศึกษาข้อมูลจากรีวิวและผู้ใช้งานจริง
  5. ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา:พิจารณาค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาและอะไหล่ของรถรุ่นนั้นๆ เพื่อให้มั่นใจว่าคุณสามารถรับภาระค่าใช้จ่ายได้
  6. ฟีเจอร์และอุปกรณ์เสริม: ตรวจสอบฟีเจอร์และอุปกรณ์เสริมที่รถมี เช่น ระบบความปลอดภัย เทคโนโลยีความบันเทิง และความสะดวกสบายภายในรถ
  7. ความปลอดภัย:เลือกรถที่มีระบบความปลอดภัยที่ดี เช่น ระบบเบรก ABS ถุงลมนิรภัย และระบบควบคุมเสถียรภาพ
  8. ประวัติการใช้งาน (สำหรับรถมือสอง):หากซื้อรถมือสอง ควรตรวจสอบประวัติการใช้งาน การซ่อมแซม และไมล์ที่ใช้งาน รวมถึงการตรวจสอบสภาพรถกับช่างผู้เชี่ยวชาญ
  9. การทดสอบขับขี่:ก่อนตัดสินใจซื้อ ควรทำการทดสอบขับขี่เพื่อให้มั่นใจว่ารถตรงกับความต้องการและความพอใจในการขับขี่ของคุณ
  10. ความสะดวกในการขายต่อ:พิจารณาความนิยมและความต้องการในตลาดของรถรุ่นนั้น เพื่อให้มั่นใจว่าสามารถขายต่อได้ง่ายในอนาคต

การพิจารณาปัจจัยเหล่านี้จะช่วยให้คุณสามารถเลือกซื้อรถยนต์ที่เหมาะสมกับความต้องการและงบประมาณของคุณได้มากยิ่งขึ้น

การรักษาความสะอาดของผ้าเช็ดตัว 

ผ้าเช็ดตัวมีไว้ใช้สำหรับล้างหรือเช็ดตัวหลังจากอาบน้ำ เพื่อทำให้ผิวหนังสุขภาพดี ลดความเสี่ยงในการติดเชื้อโรคผ่านทางผิวหนัง

และช่วยให้ร่างกายสดชื่นและสบายตัวขึ้น นอกจากนี้ยังมีไว้ใช้ในการทำความสะอาดห้องน้ำหรือพื้นที่อื่นๆ ได้อีกด้วย

การเปลี่ยนผ้าเช็ดตัวนั้นขึ้นอยู่กับการใช้งานและสภาพแวดล้อมของคุณด้วยครับ โดยทั่วไปแล้วมีคำแนะนำดังนี้:
  1. การใช้งานประจำวัน: ถ้าคุณใช้ผ้าเช็ดตัวทุกวัน ควรเปลี่ยนทุกวันหรืออย่างน้อยสองครั้งต่อสัปดาห์ เพื่อให้ผ้าเช็ดตัวทำหน้าที่ดึงความชื้นและฝุ่นได้ดีตลอดเวลา
  2. สภาพอากาศ: ในสภาวะอากาศที่มีความชื้นสูงหรืออากาศร้อน เช่น ฤดูร้อน อาจต้องเปลี่ยนผ้าเช็ดตัวบ่อยกว่านี้เพื่อป้องกันการเกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์และการเกิดเชื้อโรค

3.กิจกรรมทางกาย: หากคุณออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออกมาก เช่น การออกกำลังกายหรือการทำงานหนัก ควรเปลี่ยนผ้าเช็ดตัวบ่อยขึ้นเพื่อความสะอาดและความสบาย

  1. ความสะอาดส่วนตัว: เปลี่ยนผ้าเช็ดตัวทุกครั้งหลังจากอาบน้ำ เพื่อล้างความสกปรกและแบคทีเรียที่อาจติดอยู่บนผิวหนัง

ดังนั้น    เครื่องช่วยฟังต้องใส่กี่ข้าง     การเปลี่ยนผ้าเช็ดตัวควรจะเป็นไปตามการใช้งานของแต่ละบุคคล การทำความสะอาดที่ถูกต้องจะช่วยให้ผ้าเช็ดตัวมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน

 

การดูแลรักษาผ้าเช็ดตัวให้สะอาดและปราศจากเชื้อโรคมีขั้นตอนและวิธีที่สำคัญต่อไปนี้:
  1. การล้างผ้าเช็ดตัว: การใช้น้ำร้อน: ล้างด้วยน้ำร้อนที่อุณหภูมิสูง (ประมาณ 60-90 องศาเซลเซียส) สามารถช่วยฆ่าเชื้อโรคได้มากขึ้น เช่น โคโรน่าหรือเชื้อแบคทีเรียที่อาจติดมากับผ้าเช็ดตัวและ การ เลือกใช้ผงซักฟอกที่มีสารฆ่าเชื้อ เพื่อช่วยกำจัดเชื้อโรคที่ติดอยู่บนผ้า.
  2. การอบผ้า:หลังจากการซักแล้ว ควรนำผ้าเช็ดตัวไปอบในเครื่องอบแห้งที่อุณหภูมิสูง (ประมาณ 60-70 องศาเซลเซียส) เพื่อให้แน่ใจว่าเชื้อโรคได้ถูกฆ่าทั้งหมด.
  3. การรัดซับด้วยสารเคมี: ใช้สารเคมีที่มีส่วนผสมฆ่าเชื้อ เช่น น้ำยาฆ่าเชื้อหรือผงซักฟอกที่มีส่วนผสมเช่นเดียวกัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการกำจัดเชื้อโรค.
  4. การแช่ในน้ำยาฆ่าเชื้อ:หากเป็นผ้าเช็ดตัวที่มีเชื้อโรคหรือสงสัยว่าจะมีเชื้อโรคปนเปื้อน เช่น ผ้าเช็ดตัวของผู้ป่วย สามารถแช่ในน้ำยาฆ่าเชื้อก่อนการซักได้ เพื่อลดการแพร่กระจายของเชื้อโรค.
  5. การรักษาความสะอาดหลังการใช้งาน:หลังจากใช้ผ้าเช็ดตัวแล้ว ควรล้างและอบผ้าทุกครั้งเพื่อป้องกันการสะสมของเชื้อโรค.
  6. การรักษาความสะอาดเครื่องซักผ้า:ควรทำความสะอาดเครื่องซักผ้าอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันการปนเปื้อนเชื้อโรคจากผ้าเช็ดตัวที่ถูกซัก.

การปฏิบัติตามขั้นตอนเหล่านี้จะช่วยให้ผ้าเช็ดตัวของคุณสะอาดและปราศจากเชื้อโรคอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดในทุกครั้งที่ใช้งานและซักล้าง

Line application

โปรแกรมไลน์ เป็นแอปพลิเคชันที่มีความนิยมมากในการสื่อสารและใช้บริการต่าง ๆ ได้หลากหลาย เช่น เป็นเว็บแชท, โทรศัพท์ออนไลน์, และมีฟีเจอร์พิเศษอื่น ๆ ที่มีประโยชน์ต่าง ๆ ดังนี้:

  1. การสื่อสาร: Line เป็นแพลตฟอร์มที่ให้บริการส่งข้อความแบบข้อความหรือสติกเกอร์ และสามารถโทรศัพท์ได้หากมีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตในการใช้งาน.
  2. การโทรศัพท์และวิดีโอคอล: Line มีคุณสมบัติโทรศัพท์และวิดีโอคอลที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถโทรหรือแชทด้วยภาพเหมือนกันได้.
  3. กลุ่มแชท: สามารถสร้างกลุ่มแชทกับเพื่อนหรือกลุ่มงานได้ เพื่อสื่อสารหมู่หมาย.
  4. ไทม์ไลน์: แสดงสถานะของผู้ใช้และโพสต์ข้อความหรือรูปภาพได้ในหน้าตารางเวลาของพวกเขา.
  5. อุปกรณ์เสริม: มีการพัฒนาแอพพลิเคชันเสริมและบริการอื่น ๆ เช่น Line Games, Line Taxi, Line Shopping เป็นต้น.
  6. การชำระเงิน: ผู้ใช้ Line Wallet สามารถใช้ในการชำระเงินสำหรับสินค้าและบริการต่าง ๆ ได้.
  7. บริการอื่น ๆ: Line ยังมีคุณสมบัติอื่น ๆ เช่น บริการส่งข้อความเสียง, ส่งไฟล์, แชทแบบเรียลไทม์, และการสนับสนุนการติดต่อกับบริการลูกค้า.

โดยรวมแล้ว Line มีความหลากหลายในการใช้งานและเป็นที่นิยมในการสื่อสารและใช้บริการต่าง ๆ ในปัจจุบันทั้งในเชิงส่วนบุคคลและธุรกิจ

การสมัครโปรแกรมไลน์

1.ดาวน์โหลดแอปพลิเคชันไลน์: ไปที่ App Store (สำหรับ iOS) หรือ Google Play Store (สำหรับ Android) แล้วค้นหาแอป “LINE” แล้วดาวน์โหลดและติดตั้งลงในโทรศัพท์ของคุณ.

2.เปิดแอปและเลือกสมัครบัญชีใหม่

3.กรอกข้อมูลส่วนตัว

4.ยืนยันข้อมูลและสร้างบัญชี

5.เข้าสู่ระบบและการใช้งาน เมื่อสมัครเสร็จเรียบร้อยแล้ว คุณสามารถเข้าใช้งาน LINE ได้ทันที โดยใช้หมายเลขโทรศัพท์และรหัสผ่านที่คุณได้สร้างขึ้นในขั้นตอนก่อนหน้านี้.

การใช้งานโปรแกรมไลน์ทำได้ง่ายๆ ภายหลังจากที่มีการดาวน์โหลดแอปและติดตั้งรวมถึงการลงทะเบียนแล้ว หลังจากนั้นให้ทำการเพิ่มเพื่อนหลังจากลงทะเบียนเสร็จสิ้น

คุณสามารถเพิ่มเพื่อนโดยการค้นหาชื่อผู้ใช้หรือใช้ QR code หรือลิงก์ที่ได้รับจากเพื่อน.ใช้งานแชท เมื่อเพิ่มเพื่อนแล้ว คุณสามารถส่งข้อความ ส่งภาพ ส่งไฟล์ หรือใช้สติ๊กเกอร์ แชร์สถานะ และหลากหลายฟีเจอร์อื่นๆ

ได้ตามต้องการ สำหรับการโทรหรือวิดีโอคอล คุณยังสามารถโทรหรือทำวิดีโอคอลกับเพื่อนได้ โดยการเลือกเพื่อนแล้วกดที่ไอคอนโทรหรือวิดีโอคอล. นอกจากการแชทได้ด้วย 

นอกจากนี้ยังสามารถใช้งานฟีเจอร์อื่นๆได้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น ไทม์ไลน์ สตอรี่ บล็อกสื่อที่ชื่นชอบ และการเชื่อมต่อกับบริการอื่นๆ เช่น บัญชีอินสตาแกรม.

การใช้งานโปรแกรมไลน์มีความหลากหลายและสะดวกสบาย ให้คุณสามารถครอบคลุมการติดต่อสื่อสารในทุกมิติของชีวิตประจำวันได้แบบเต็มรูปแบบ

 

ผู้ให้การสนับสนุนโดย        เครื่องช่วยฟังผู้สูงอายุ

ปวดท้องข้างซ้าย เป็นโรคอะไร? ต้องหาหมอไหม?

อาการปวดท้องข้างซ้ายอาจเกิดจากหลายสาเหตุ ซึ่งเกี่ยวข้องกับอวัยวะต่างๆ ในบริเวณดังกล่าว เช่น กระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ ม้าม ไต หรือระบบสืบพันธุ์ในผู้หญิง

ความรุนแรงของอาการและลักษณะปวดมีความสำคัญต่อการวินิจฉัย หากปวดท้องข้างซ้ายเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ควรทราบสาเหตุและพิจารณาว่าจำเป็นต้องพบแพทย์หรือไม่

 สาเหตุของอาการปวดท้องข้างซ้าย
  1. โรคลำไส้แปรปรวน (Irritable Bowel Syndrome – IBS)  

   ลำไส้แปรปรวนเป็นภาวะที่พบได้บ่อย อาจทำให้เกิดอาการปวดท้องข้างซ้าย ท้องอืด ท้องผูก หรือท้องเสีย อาการมักเป็นๆ หายๆ และสัมพันธ์กับความเครียดหรืออาหารที่รับประทาน

  1. ลำไส้อักเสบหรือติดเชื้อ (Diverticulitis) 

   ภาวะลำไส้ใหญ่ส่วนปลายที่มีถุงเล็กๆ อักเสบ อาจทำให้เกิดอาการปวดหน่วงๆ ที่ท้องข้างซ้ายล่าง อาการร่วมอาจมีไข้ ท้องผูก หรือท้องเสีย

  1. โรคกระเพาะอาหาร (Gastritis)  

   การอักเสบของเยื่อบุกระเพาะอาหารจากกรดเกิน อาจทำให้เกิดอาการปวดบริเวณท้องซ้ายบน ร่วมกับอาการแน่นท้อง อาหารไม่ย่อย หรือคลื่นไส้

  1. นิ่วในไต (Kidney Stones) 

   นิ่วในไตหรือท่อไตด้านซ้าย อาจทำให้เกิดอาการปวดรุนแรงเป็นพักๆ ที่บริเวณหลังหรือท้องข้างซ้าย และอาจแผ่ไปที่ขาหนีบ มีอาการปัสสาวะแสบขัดหรือปัสสาวะมีเลือดปน

  1. ปัญหาม้าม (Splenic Disorders)  

   ม้ามที่ขยายใหญ่หรือฉีกขาด (ในกรณีอุบัติเหตุ) อาจทำให้เกิดอาการปวดบริเวณซ้ายบนของท้องร่วมกับความอ่อนเพลียและอาการตัวซีด

  1. ปัญหาในผู้หญิง  

   ผู้หญิงอาจปวดท้องข้างซ้ายจากภาวะที่เกี่ยวข้องกับรังไข่หรือมดลูก เช่น ซีสต์รังไข่ การตั้งครรภ์นอกมดลูก หรือการอักเสบในอุ้งเชิงกราน (PID)

 อาการที่ควรเฝ้าระวังและพบแพทย์ทันที

– อาการปวดรุนแรงและต่อเนื่อง  

– ไข้สูง  

– คลื่นไส้ อาเจียน  

– ท้องแข็งหรือบวม  

– ปัสสาวะผิดปกติ เช่น สีเข้ม ปัสสาวะแสบขัด หรือปัสสาวะมีเลือดปน  

– อุจจาระมีเลือดปน หรือท้องเสียต่อเนื่อง  

 

 การวินิจฉัยและการรักษา

แพทย์จะทำการตรวจร่างกาย และอาจมีการตรวจเพิ่มเติม เช่น  

– ตรวจเลือด เพื่อหาการอักเสบหรือการติดเชื้อ  

– การอัลตราซาวด์ หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT scan) เพื่อตรวจหาความผิดปกติของอวัยวะภายใน  

– การส่องกล้อง หากสงสัยว่าเป็นโรคกระเพาะอาหารหรือโรคลำไส้  

การรักษาจะขึ้นอยู่กับสาเหตุ เช่น ยาลดกรด ยาปฏิชีวนะ หรือการผ่าตัดในกรณีรุนแรง เช่น นิ่วหรือม้ามฉีกขาด

 

 สรุป

อาการปวดท้องข้างซ้ายอาจเกิดจากสาเหตุที่หลากหลาย ตั้งแต่โรคที่ไม่รุนแรง เช่น ลำไส้แปรปรวน ไปจนถึงภาวะฉุกเฉิน เช่น ลำไส้อักเสบหรือนิ่วในไต หากอาการปวดเป็นแบบรุนแรง ต่อเนื่อง

ถ่านเครื่องช่วยฟัง    หรือมีอาการร่วมผิดปกติ ควรพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสม อย่าปล่อยให้อาการลุกลามจนส่งผลกระทบต่อชีวิตและสุขภาพในระยะยาว.

อาชีพ ช่างสัก/นักออกแบบรอยสัก

อาชีพ ช่างสัก/นักออกแบบรอยสัก  เป็นอาชีพที่ต้องอาศัยทักษะและความคิดสร้างสรรค์ในการออกแบบลวดลายและทำการสักบนผิวหนังของลูกค้า รอยสักไม่ได้เป็นแค่การประดับผิวหนัง

แต่ยังสะท้อนถึงความเป็นตัวตน ความเชื่อ และความคิดของผู้สัก ทำให้อาชีพนี้มีความเป็นศิลปะสูง และต้องอาศัยความพิถีพิถันในการสร้างสรรค์งาน 

 

ขั้นตอนในการเป็นช่างสัก/นักออกแบบรอยสัก

  1. การฝึกทักษะการออกแบบ 

   ผู้ที่สนใจในอาชีพนี้จำเป็นต้องมีพื้นฐานด้านศิลปะและการวาดรูปที่ดี การเข้าเรียนในคอร์สศิลปะหรือการฝึกฝนวาดลายเส้นเป็นสิ่งจำเป็น เพราะการออกแบบรอยสักต้องใช้ความละเอียดและความเข้าใจในมิติต่าง ๆ ของลวดลายที่จะอยู่บนผิวหนัง  

   

  1. การฝึกทักษะการสัก

   การเป็นช่างสักจำเป็นต้องมีทักษะในการใช้เครื่องมือสัก ไม่ว่าจะเป็นการใช้เข็มสัก การควบคุมการสั่นสะเทือน และความรู้เรื่องผิวหนัง การฝึกงานกับช่างสักที่มีประสบการณ์เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ทำให้สามารถพัฒนาทักษะนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

  1. เรียนรู้เกี่ยวกับสุขอนามัย  

   การสักเป็นการทำงานที่เกี่ยวข้องกับร่างกายและเลือด ดังนั้นช่างสักจะต้องมีความรู้เกี่ยวกับสุขอนามัย เพื่อป้องกันการติดเชื้อหรือปัญหาด้านสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นกับลูกค้า การเรียนรู้การดูแลอุปกรณ์ให้สะอาดและการใช้อุปกรณ์ที่ได้มาตรฐานจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง

 

  1. การสร้างพอร์ตโฟลิโอ 

   การมีผลงานการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์และแสดงให้เห็นถึงทักษะในการสักเป็นสิ่งที่ช่วยดึงดูดลูกค้าได้ การโพสต์ผลงานผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น อินสตาแกรมหรือเว็บไซต์ส่วนตัว เป็นวิธีหนึ่งในการทำให้คนรู้จักและสนใจในผลงานของคุณ

 

ช่องทางการหารายได้ในอาชีพช่างสัก

  1. ร้านสักส่วนตัว   ช่างสักหลายคนเลือกเปิดร้านสักของตัวเองเพื่อให้บริการลูกค้า การมีร้านสักที่เป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมจะช่วยเพิ่มโอกาสในการหารายได้ที่มั่นคง

 

2.งานอิสระ บางคนอาจเลือกทำงานเป็นช่างสักอิสระ โดยไม่มีร้านสักของตัวเอง แต่ทำงานตามงานจ้างต่าง ๆ หรือไปทำงานที่ร้านสักที่มีการเชิญช่างสักรับเชิญ

 

  1. การขายออกแบบลวดลายสัก นักออกแบบรอยสักบางคนสามารถหารายได้จากการขายลายสักของตัวเองให้กับช่างสักคนอื่น ๆ หรือให้กับลูกค้าที่ต้องการออกแบบที่ไม่ซ้ำใคร

 

  1. การจัดคอร์สสอน    เมื่อมีประสบการณ์มากพอ ช่างสักสามารถจัดคอร์สสอนการสักหรือการออกแบบรอยสักให้กับผู้ที่สนใจในอาชีพนี้ ซึ่งเป็นช่องทางในการหารายได้เพิ่มเติม

 

จุดเด่นของอาชีพช่างสัก

  1. การเป็นศิลปินที่มีอิสระ ช่างสักคือศิลปินที่มีอิสระในการสร้างสรรค์ผลงาน การออกแบบและการสักบนร่างกายของลูกค้าเป็นการแสดงออกทางศิลปะที่ไม่เหมือนใคร

 

  1. การสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า   ช่างสักมักจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า เนื่องจากรอยสักเป็นสิ่งที่มีความหมายต่อลูกค้า และการทำงานอย่างใกล้ชิดในการเลือกและปรับแต่งลวดลายทำให้เกิดความไว้วางใจและความเชื่อมั่น

 

  1. โอกาสในการพัฒนาทักษะอย่างไม่สิ้นสุด  การออกแบบและเทคนิคการสักมีการพัฒนาอยู่เสมอ ช่างสักที่ดีจะต้องมีความกระตือรือร้นในการเรียนรู้และปรับปรุงทักษะของตนเองให้ทันสมัย

 

  1. ความภูมิใจในผลงานที่ยั่งยืน  รอยสักเป็นผลงานที่อยู่บนร่างกายของลูกค้าตลอดชีวิต การที่ช่างสักสามารถสร้างสรรค์งานที่มีความหมายและสวยงามเป็นสิ่งที่น่าภูมิใจ

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย      hoiana