3  วิธีช่วยลดความดันโลหิตสูงให้หายขาด

ความดันโลหิตสูงเป็นปัญหาสุขภาพที่พบได้ทั่วไป ซึ่งอาจนำไปสู่โรคร้ายแรง เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไต และโรคหลอดเลือดสมอง

อย่างไรก็ตาม การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและการใช้ชีวิตสามารถช่วยลดและควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในระดับปกติ และในบางกรณีอาจช่วยลดความดันโลหิตสูงให้หายขาดได้ โดยเน้นการปรับเปลี่ยนใน 3 ด้านสำคัญ ได้แก่ ลดเค็ม ลดโซเดียม ลดเครียด และลดน้ำหนัก  

  1. ลดเค็ม ลดโซเดียม  

โซเดียมเป็นแร่ธาตุที่สำคัญต่อร่างกาย แต่การบริโภคโซเดียมในปริมาณที่มากเกินไป โดยเฉพาะจากเกลือและอาหารแปรรูป เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น การลดการบริโภคโซเดียมช่วยลดแรงดันในหลอดเลือด และลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนจากความดันโลหิตสูงได้  

– วิธีลดเค็มและโซเดียม 

  – เลือกอาหารสดและปรุงอาหารเองแทนการทานอาหารแปรรูปหรืออาหารสำเร็จรูป  

  – ลดการเติมเครื่องปรุงรสที่มีโซเดียมสูง เช่น ซีอิ๊ว น้ำปลา และซอสปรุงรส  

  – อ่านฉลากโภชนาการ เลือกผลิตภัณฑ์ที่มีโซเดียมต่ำ  

การลดเค็มและโซเดียมอย่างค่อยเป็นค่อยไปช่วยให้ลิ้นปรับตัวและลดความอยากอาหารรสเค็มลง ซึ่งส่งผลดีต่อการลดความดันโลหิตในระยะยาว  

 

  1. ลดเครียด 

ความเครียดเป็นตัวกระตุ้นให้ความดันโลหิตพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนที่เพิ่มแรงดันในหลอดเลือด และหากความเครียดเกิดขึ้นเป็นเวลานาน อาจส่งผลเสียต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด  

– วิธีลดความเครียด 

  – การทำสมาธิและโยคะ: ช่วยให้จิตใจสงบ ลดการหลั่งฮอร์โมนความเครียด  

  – การออกกำลังกาย: ช่วยกระตุ้นการหลั่งสารเอ็นโดรฟินที่ช่วยผ่อนคลายความเครียด  

  – จัดการเวลาและภาระงาน วางแผนกิจกรรมประจำวันเพื่อลดแรงกดดันในชีวิต  การจัดการความเครียดอย่างมีประสิทธิภาพช่วยลดความดันโลหิตและส่งเสริมสุขภาพหัวใจ 

 

  1. ลดน้ำหนัก 

น้ำหนักตัวที่เกินมาตรฐานเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้ความดันโลหิตเพิ่มสูงขึ้น การลดน้ำหนักช่วยลดแรงดันในหลอดเลือด และยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของระบบการทำงานในร่างกาย  

– วิธีลดน้ำหนักอย่างปลอดภัย 

  – ปรับอาหาร: เพิ่มผัก ผลไม้ และอาหารที่มีไฟเบอร์สูง ลดไขมันและน้ำตาล  

  – ออกกำลังกายสม่ำเสมอ: เดินเร็ว วิ่ง หรือออกกำลังกายแบบคาร์ดิโออย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์  

  – ตั้งเป้าหมายเล็ก ๆ: ลดน้ำหนักเพียง 5-10% ของน้ำหนักตัวเดิมก็สามารถช่วยลดความดันโลหิตได้  

การลดเค็ม ลดโซเดียม ลดเครียด และลดน้ำหนัก เป็น 3 ปัจจัยสำคัญที่สามารถช่วยลดความดันโลหิตสูงได้อย่างมีประสิทธิภาพ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวันอย่างต่อเนื่อง ไม่เพียงแต่ช่วยควบคุมความดันโลหิต

แต่ยังส่งเสริมสุขภาพในระยะยาวและลดความเสี่ยงของโรคแทรกซ้อน การเริ่มต้นตั้งแต่วันนี้ คือก้าวแรกสู่สุขภาพที่ดีและการมีชีวิตยืนยาว! 

 

 

สนับสนุนโดย    เครื่องช่วยฟังแบบชาร์จ

ประวัติความเป็นมาของ Porsche  

Porsche (Porsche AG) เป็นแบรนด์รถยนต์หรูและรถสปอร์ตสมรรถนะสูงสัญชาติเยอรมัน ที่มีชื่อเสียงในด้านการออกแบบอันเป็นเอกลักษณ์และสมรรถนะที่ยอดเยี่ยม บริษัท Porsche ก่อตั้งขึ้นในปี 1931

โดย เฟอร์ดินานด์ ปอร์เช่  วิศวกรผู้มีชื่อเสียงในการออกแบบและพัฒนาเครื่องยนต์สำหรับรถยนต์ โดย Porsche ถือเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่มีบทบาทสำคัญในวงการยานยนต์โลก  

 

เฟอร์ดินานด์ ปอร์เช่ เป็นวิศวกรผู้มากความสามารถ ก่อนจะก่อตั้งบริษัทของตัวเอง

เขาเคยทำงานให้กับหลายบริษัทชั้นนำ เช่น Daimler-Benz และ Steyr ต่อมาในปี 1931 เขาได้ก่อตั้งบริษัทของตัวเองในเมืองสตุ๊ตการ์ท ประเทศเยอรมนี ภายใต้ชื่อ Dr. Ing. h.c. F. Porsche GmbH โดยเน้นการพัฒนาและให้คำปรึกษาด้านวิศวกรรมยานยนต์  

 

หนึ่งในผลงานที่โดดเด่นที่สุดในช่วงแรกคือการออกแบบรถยนต์ Volkswagen Beetle หรือที่รู้จักกันในชื่อ Volkswagen Type 1

ซึ่งเป็นรถยนต์ยอดนิยมที่ผลิตมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ด้วยดีไซน์ที่เรียบง่ายและประสิทธิภาพที่ยอดเยี่ยม  

 

หลังสงครามโลกครั้งที่สอง Porsche ได้เปลี่ยนทิศทางจากการให้คำปรึกษาด้านวิศวกรรมมาผลิตรถยนต์ภายใต้แบรนด์ของตัวเอง ในปี 1948 บริษัทได้เปิดตัวรถยนต์รุ่นแรก คือ Porsche 356

ซึ่งออกแบบโดย เฟอร์รี่ ปอร์เช่ บุตรชายของเฟอร์ดินานด์ Porsche 356 เป็นรถสปอร์ตขนาดเล็กที่ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว ด้วยดีไซน์ที่โฉบเฉี่ยวและสมรรถนะที่ยอดเยี่ยม ทำให้กลายเป็นต้นแบบของรถสปอร์ตในยุคต่อมา  

หนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ Porsche เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก คือความสำเร็จในวงการมอเตอร์สปอร์ต โดยเฉพาะในรายการแข่งรถ Le Mans 24 Hours

ซึ่ง Porsche สามารถคว้าชัยชนะได้หลายครั้ง และยังคงเป็นแบรนด์ที่ครองสถิติการชนะมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของการแข่งขันรายการนี้  

 

ความสำเร็จในสนามแข่งไม่เพียงแต่สร้างชื่อเสียงให้แบรนด์เท่านั้น แต่ยังช่วยพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่นำมาใช้ในรถยนต์สำหรับถนนทั่วไป  ช่วงทศวรรษ 1960 Porsche ได้เปิดตัวรถยนต์รุ่นสำคัญที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของแบรนด์ คือ Porsche 911 ซึ่งเปิดตัวครั้งแรกในปี 1964 Porsche 911 มีดีไซน์ที่โดดเด่นและเครื่องยนต์วางหลัง ซึ่งกลายเป็นเอกลักษณ์ของ Porsche และยังคงพัฒนาและผลิตต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน  

 

ในช่วงทศวรรษ 2000 Porsche ได้ขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์ไปสู่รถยนต์ SUV และซีดานหรู เช่น Porsche Cayenne, Macan, และ Panamera ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมาก และช่วยให้บริษัทเติบโตได้อย่างรวดเร็ว  

 

ปัจจุบัน Porsche เป็นส่วนหนึ่งของ Volkswagen Group และยังคงเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์หรูและรถสปอร์ตสมรรถนะสูง โดยเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีไฮบริดและรถยนต์ไฟฟ้า เช่น Porsche Taycan ซึ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้าคันแรกของบริษัท และได้รับเสียงชื่นชมในด้านสมรรถนะและการออกแบบ  

Porsche เป็นแบรนด์ที่สะท้อนถึงความหลงใหลในสมรรถนะและการออกแบบที่ไร้กาลเวลา จากจุดเริ่มต้นของเฟอร์ดินานด์ ปอร์เช่ สู่การเป็นแบรนด์ระดับโลก Porsche ไม่ได้เป็นเพียงผู้ผลิตรถยนต์ แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของความสำเร็จและความเป็นเลิศด้านวิศวกรรมยานยนต์

 

ขอบคุณผู้ให้การสนับสนุนโดย        คาสิโนเวียดนาม

หลักการเลือกซื้อรถยนต์

รถยนต์ เป็นภาหนะที่ใช้สำหรับในการเดินทาง ซึ่งในอดีตตั้งแต่ยุคโบราณนั้นหากต้องมีการเดินทางไกล แต่ไม่มีรถยนต์ใช้งานก็จะมีการแรงงานของสัตว์แทน ไม่ว่าจะเป็น ม้า ช้าง หรือ วัว และควาย

  ต่อมาเมื่อโลกมีวิวัฒนาการมากขึ้น มีการผลิตรถยนต์ออกมาใช้ ผู้คนจึงให้ความสำคัญกับภาหนะการเดินทางที่เราเรียกกันว่ารถยนต์นับตั้งแต่นั้นมา 

เนื่องจากว่ารถยนต์สามารถอำนวยความสะดวกให้กับคนที่ต้องเดินทางไกลๆได้เป็นอย่างดี และที่สำคัญหากเดินทางด้วยรถยนต์ก็จะสามารถลดเวลาในการเดินทางได้ รวมถึงเดินทางไปถึงที่หมายปลายทางได้อย่างรวดเร็ว 

 

อย่างไรก็ตาม    เครื่องช่วยฟังแบบไหนดี      สำหรับบทความนี้เราจะมาแนะนำเกี่ยวกับการพิจารณาการเลือกซื้อรถยนต์ว่าเราควรมีหลักการ

อย่างไรในการตัดสินใจซื้อรถยนต์มาใช้สักคัน เพราะอย่างที่เรารู้กันดีว่ารถยนต์แต่ละคันนั้นมีราคาที่ค่อนข้างสูงมากๆ 

การซื้อรถยนต์ใช้งานเป็นการตัดสินใจที่สำคัญและต้องพิจารณาหลายปัจจัยเพื่อให้ได้รถที่ตรงกับความต้องการและงบประมาณของคุณ นี่คือปัจจัยที่ควรพิจารณา:

  1. งบประมาณ: กำหนดงบประมาณในการซื้อรถ รวมถึงค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม เช่น ภาษี ประกันภัย และค่าบำรุงรักษา
  2. ประเภทของรถ: พิจารณาว่าคุณต้องการรถประเภทใด เช่น รถเก๋ง รถกระบะ รถ SUV หรือรถยนต์ไฟฟ้า ขึ้นอยู่กับการใช้งานและความต้องการของคุณ
  3. ความประหยัดน้ำมัน: รถยนต์ที่ประหยัดน้ำมันจะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการใช้งานในระยะยาว ตรวจสอบอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันของรถแต่ละรุ่น
  4. ความน่าเชื่อถือและความทนทาน: เลือกรถที่มีชื่อเสียงในเรื่องความน่าเชื่อถือและมีประวัติการใช้งานที่ดี ควรศึกษาข้อมูลจากรีวิวและผู้ใช้งานจริง
  5. ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา:พิจารณาค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาและอะไหล่ของรถรุ่นนั้นๆ เพื่อให้มั่นใจว่าคุณสามารถรับภาระค่าใช้จ่ายได้
  6. ฟีเจอร์และอุปกรณ์เสริม: ตรวจสอบฟีเจอร์และอุปกรณ์เสริมที่รถมี เช่น ระบบความปลอดภัย เทคโนโลยีความบันเทิง และความสะดวกสบายภายในรถ
  7. ความปลอดภัย:เลือกรถที่มีระบบความปลอดภัยที่ดี เช่น ระบบเบรก ABS ถุงลมนิรภัย และระบบควบคุมเสถียรภาพ
  8. ประวัติการใช้งาน (สำหรับรถมือสอง):หากซื้อรถมือสอง ควรตรวจสอบประวัติการใช้งาน การซ่อมแซม และไมล์ที่ใช้งาน รวมถึงการตรวจสอบสภาพรถกับช่างผู้เชี่ยวชาญ
  9. การทดสอบขับขี่:ก่อนตัดสินใจซื้อ ควรทำการทดสอบขับขี่เพื่อให้มั่นใจว่ารถตรงกับความต้องการและความพอใจในการขับขี่ของคุณ
  10. ความสะดวกในการขายต่อ:พิจารณาความนิยมและความต้องการในตลาดของรถรุ่นนั้น เพื่อให้มั่นใจว่าสามารถขายต่อได้ง่ายในอนาคต

การพิจารณาปัจจัยเหล่านี้จะช่วยให้คุณสามารถเลือกซื้อรถยนต์ที่เหมาะสมกับความต้องการและงบประมาณของคุณได้มากยิ่งขึ้น

การรักษาความสะอาดของผ้าเช็ดตัว 

ผ้าเช็ดตัวมีไว้ใช้สำหรับล้างหรือเช็ดตัวหลังจากอาบน้ำ เพื่อทำให้ผิวหนังสุขภาพดี ลดความเสี่ยงในการติดเชื้อโรคผ่านทางผิวหนัง

และช่วยให้ร่างกายสดชื่นและสบายตัวขึ้น นอกจากนี้ยังมีไว้ใช้ในการทำความสะอาดห้องน้ำหรือพื้นที่อื่นๆ ได้อีกด้วย

การเปลี่ยนผ้าเช็ดตัวนั้นขึ้นอยู่กับการใช้งานและสภาพแวดล้อมของคุณด้วยครับ โดยทั่วไปแล้วมีคำแนะนำดังนี้:
  1. การใช้งานประจำวัน: ถ้าคุณใช้ผ้าเช็ดตัวทุกวัน ควรเปลี่ยนทุกวันหรืออย่างน้อยสองครั้งต่อสัปดาห์ เพื่อให้ผ้าเช็ดตัวทำหน้าที่ดึงความชื้นและฝุ่นได้ดีตลอดเวลา
  2. สภาพอากาศ: ในสภาวะอากาศที่มีความชื้นสูงหรืออากาศร้อน เช่น ฤดูร้อน อาจต้องเปลี่ยนผ้าเช็ดตัวบ่อยกว่านี้เพื่อป้องกันการเกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์และการเกิดเชื้อโรค

3.กิจกรรมทางกาย: หากคุณออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออกมาก เช่น การออกกำลังกายหรือการทำงานหนัก ควรเปลี่ยนผ้าเช็ดตัวบ่อยขึ้นเพื่อความสะอาดและความสบาย

  1. ความสะอาดส่วนตัว: เปลี่ยนผ้าเช็ดตัวทุกครั้งหลังจากอาบน้ำ เพื่อล้างความสกปรกและแบคทีเรียที่อาจติดอยู่บนผิวหนัง

ดังนั้น    เครื่องช่วยฟังต้องใส่กี่ข้าง     การเปลี่ยนผ้าเช็ดตัวควรจะเป็นไปตามการใช้งานของแต่ละบุคคล การทำความสะอาดที่ถูกต้องจะช่วยให้ผ้าเช็ดตัวมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน

 

การดูแลรักษาผ้าเช็ดตัวให้สะอาดและปราศจากเชื้อโรคมีขั้นตอนและวิธีที่สำคัญต่อไปนี้:
  1. การล้างผ้าเช็ดตัว: การใช้น้ำร้อน: ล้างด้วยน้ำร้อนที่อุณหภูมิสูง (ประมาณ 60-90 องศาเซลเซียส) สามารถช่วยฆ่าเชื้อโรคได้มากขึ้น เช่น โคโรน่าหรือเชื้อแบคทีเรียที่อาจติดมากับผ้าเช็ดตัวและ การ เลือกใช้ผงซักฟอกที่มีสารฆ่าเชื้อ เพื่อช่วยกำจัดเชื้อโรคที่ติดอยู่บนผ้า.
  2. การอบผ้า:หลังจากการซักแล้ว ควรนำผ้าเช็ดตัวไปอบในเครื่องอบแห้งที่อุณหภูมิสูง (ประมาณ 60-70 องศาเซลเซียส) เพื่อให้แน่ใจว่าเชื้อโรคได้ถูกฆ่าทั้งหมด.
  3. การรัดซับด้วยสารเคมี: ใช้สารเคมีที่มีส่วนผสมฆ่าเชื้อ เช่น น้ำยาฆ่าเชื้อหรือผงซักฟอกที่มีส่วนผสมเช่นเดียวกัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการกำจัดเชื้อโรค.
  4. การแช่ในน้ำยาฆ่าเชื้อ:หากเป็นผ้าเช็ดตัวที่มีเชื้อโรคหรือสงสัยว่าจะมีเชื้อโรคปนเปื้อน เช่น ผ้าเช็ดตัวของผู้ป่วย สามารถแช่ในน้ำยาฆ่าเชื้อก่อนการซักได้ เพื่อลดการแพร่กระจายของเชื้อโรค.
  5. การรักษาความสะอาดหลังการใช้งาน:หลังจากใช้ผ้าเช็ดตัวแล้ว ควรล้างและอบผ้าทุกครั้งเพื่อป้องกันการสะสมของเชื้อโรค.
  6. การรักษาความสะอาดเครื่องซักผ้า:ควรทำความสะอาดเครื่องซักผ้าอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันการปนเปื้อนเชื้อโรคจากผ้าเช็ดตัวที่ถูกซัก.

การปฏิบัติตามขั้นตอนเหล่านี้จะช่วยให้ผ้าเช็ดตัวของคุณสะอาดและปราศจากเชื้อโรคอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดในทุกครั้งที่ใช้งานและซักล้าง

Line application

โปรแกรมไลน์ เป็นแอปพลิเคชันที่มีความนิยมมากในการสื่อสารและใช้บริการต่าง ๆ ได้หลากหลาย เช่น เป็นเว็บแชท, โทรศัพท์ออนไลน์, และมีฟีเจอร์พิเศษอื่น ๆ ที่มีประโยชน์ต่าง ๆ ดังนี้:

  1. การสื่อสาร: Line เป็นแพลตฟอร์มที่ให้บริการส่งข้อความแบบข้อความหรือสติกเกอร์ และสามารถโทรศัพท์ได้หากมีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตในการใช้งาน.
  2. การโทรศัพท์และวิดีโอคอล: Line มีคุณสมบัติโทรศัพท์และวิดีโอคอลที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถโทรหรือแชทด้วยภาพเหมือนกันได้.
  3. กลุ่มแชท: สามารถสร้างกลุ่มแชทกับเพื่อนหรือกลุ่มงานได้ เพื่อสื่อสารหมู่หมาย.
  4. ไทม์ไลน์: แสดงสถานะของผู้ใช้และโพสต์ข้อความหรือรูปภาพได้ในหน้าตารางเวลาของพวกเขา.
  5. อุปกรณ์เสริม: มีการพัฒนาแอพพลิเคชันเสริมและบริการอื่น ๆ เช่น Line Games, Line Taxi, Line Shopping เป็นต้น.
  6. การชำระเงิน: ผู้ใช้ Line Wallet สามารถใช้ในการชำระเงินสำหรับสินค้าและบริการต่าง ๆ ได้.
  7. บริการอื่น ๆ: Line ยังมีคุณสมบัติอื่น ๆ เช่น บริการส่งข้อความเสียง, ส่งไฟล์, แชทแบบเรียลไทม์, และการสนับสนุนการติดต่อกับบริการลูกค้า.

โดยรวมแล้ว Line มีความหลากหลายในการใช้งานและเป็นที่นิยมในการสื่อสารและใช้บริการต่าง ๆ ในปัจจุบันทั้งในเชิงส่วนบุคคลและธุรกิจ

การสมัครโปรแกรมไลน์

1.ดาวน์โหลดแอปพลิเคชันไลน์: ไปที่ App Store (สำหรับ iOS) หรือ Google Play Store (สำหรับ Android) แล้วค้นหาแอป “LINE” แล้วดาวน์โหลดและติดตั้งลงในโทรศัพท์ของคุณ.

2.เปิดแอปและเลือกสมัครบัญชีใหม่

3.กรอกข้อมูลส่วนตัว

4.ยืนยันข้อมูลและสร้างบัญชี

5.เข้าสู่ระบบและการใช้งาน เมื่อสมัครเสร็จเรียบร้อยแล้ว คุณสามารถเข้าใช้งาน LINE ได้ทันที โดยใช้หมายเลขโทรศัพท์และรหัสผ่านที่คุณได้สร้างขึ้นในขั้นตอนก่อนหน้านี้.

การใช้งานโปรแกรมไลน์ทำได้ง่ายๆ ภายหลังจากที่มีการดาวน์โหลดแอปและติดตั้งรวมถึงการลงทะเบียนแล้ว หลังจากนั้นให้ทำการเพิ่มเพื่อนหลังจากลงทะเบียนเสร็จสิ้น

คุณสามารถเพิ่มเพื่อนโดยการค้นหาชื่อผู้ใช้หรือใช้ QR code หรือลิงก์ที่ได้รับจากเพื่อน.ใช้งานแชท เมื่อเพิ่มเพื่อนแล้ว คุณสามารถส่งข้อความ ส่งภาพ ส่งไฟล์ หรือใช้สติ๊กเกอร์ แชร์สถานะ และหลากหลายฟีเจอร์อื่นๆ

ได้ตามต้องการ สำหรับการโทรหรือวิดีโอคอล คุณยังสามารถโทรหรือทำวิดีโอคอลกับเพื่อนได้ โดยการเลือกเพื่อนแล้วกดที่ไอคอนโทรหรือวิดีโอคอล. นอกจากการแชทได้ด้วย 

นอกจากนี้ยังสามารถใช้งานฟีเจอร์อื่นๆได้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น ไทม์ไลน์ สตอรี่ บล็อกสื่อที่ชื่นชอบ และการเชื่อมต่อกับบริการอื่นๆ เช่น บัญชีอินสตาแกรม.

การใช้งานโปรแกรมไลน์มีความหลากหลายและสะดวกสบาย ให้คุณสามารถครอบคลุมการติดต่อสื่อสารในทุกมิติของชีวิตประจำวันได้แบบเต็มรูปแบบ

 

ผู้ให้การสนับสนุนโดย        เครื่องช่วยฟังผู้สูงอายุ

กรดไหลย้อนและแสบร้อนกลางอก: หายขาดได้ด้วยวิธีปฏิบัติต่อไปนี้

กรดไหลย้อน (Gastroesophageal Reflux Disease: GERD) และอาการแสบร้อนกลางอกเป็นปัญหาสุขภาพที่พบได้บ่อยในปัจจุบัน อาการนี้เกิดจากกรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นมาที่หลอดอาหาร

ทำให้เกิดความรู้สึกแสบร้อนและไม่สบายบริเวณกลางอก หากปล่อยไว้นานโดยไม่รักษา

อาจนำไปสู่โรคร้ายแรง เช่น การอักเสบของหลอดอาหารและภาวะหลอดอาหารตีบ อย่างไรก็ตาม ปัญหานี้สามารถหายขาดได้ หากเราปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้อย่างเคร่งครัด

 

  1. ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร

– กินอาหารมื้อเล็ก: หลีกเลี่ยงการกินอาหารมื้อใหญ่เกินไป เนื่องจากอาหารจำนวนมากอาจทำให้กระเพาะอาหารขยายตัวและเพิ่มความดันที่กระตุ้นให้กรดไหลย้อนขึ้นมา

– เลี่ยงอาหารกระตุ้น: ลดการบริโภคอาหารที่มีไขมันสูง อาหารเผ็ด อาหารทอด ช็อกโกแลต กาแฟ น้ำอัดลม และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นให้กรดหลั่งมากขึ้น

– รับประทานอาหารให้ตรงเวลา: การกินอาหารเป็นเวลาและไม่ปล่อยให้ท้องว่างเกินไปสามารถช่วยลดอาการกรดไหลย้อนได้

 

  1. ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน

– ไม่เอนตัวหรือนอนทันทีหลังรับประทานอาหาร: ควรรออย่างน้อย 2-3 ชั่วโมงก่อนเอนตัวหรือนอน เพื่อป้องกันกรดไหลย้อนขึ้นมาขณะนอนหลับ

– ยกระดับศีรษะขณะนอน: การใช้หมอนสูงหรือยกหัวเตียงขึ้น 15-20 ซม. จะช่วยลดการไหลย้อนของกรด

– ลดน้ำหนักตัว: น้ำหนักส่วนเกิน โดยเฉพาะบริเวณหน้าท้อง จะเพิ่มแรงดันในกระเพาะอาหารและกระตุ้นให้กรดไหลย้อน

– หลีกเลี่ยงการใส่เสื้อผ้ารัดแน่น: เสื้อผ้าที่รัดแน่นเกินไปอาจเพิ่มแรงดันในกระเพาะอาหารและทำให้อาการแย่ลง

 

  1. การจัดการความเครียด

ความเครียดเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้อาการกรดไหลย้อนรุนแรงขึ้น การฝึกผ่อนคลาย เช่น การทำสมาธิ โยคะ หรือการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยลดความเครียดและอาการกรดไหลย้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

  1. การใช้ยาและคำแนะนำทางการแพทย์

หากอาการไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำและยารักษา เช่น ยาลดกรด (Antacids) ยากลุ่มลดการหลั่งกรด (Proton Pump Inhibitors: PPI) หรือยาปรับกล้ามเนื้อหูรูดหลอดอาหาร หากจำเป็น อาจต้องตรวจเพิ่มเติม เช่น การส่องกล้องตรวจหลอดอาหารหรือการตรวจวัดความเป็นกรด-ด่างในหลอดอาหาร

 

  1. วางแผนการดูแลระยะยาว

การรักษากรดไหลย้อนไม่ใช่เรื่องยาก แต่ต้องอาศัยความต่อเนื่องและวินัยในตัวเอง หากสามารถเปลี่ยนพฤติกรรมและดูแลสุขภาพได้อย่างถูกต้อง อาการนี้จะค่อยๆ บรรเทาและหายขาดในที่สุด 

 

การดูแลกรดไหลย้อนต้องเริ่มต้นจากตัวเรา ด้วยการปรับพฤติกรรมการกิน การใช้ชีวิต และการจัดการความเครียด พร้อมทั้งรับคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างเหมาะสม

การดูแลที่สม่ำเสมอและใส่ใจจะทำให้อาการกรดไหลย้อนและแสบร้อนกลางอกหายไปอย่างถาวร และช่วยให้คุณมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในระยะยาว

 

ได้รับการสนับสนุนบทความนี้โดย        หูตึงรักษา

ปวดท้องข้างซ้าย เป็นโรคอะไร? ต้องหาหมอไหม?

อาการปวดท้องข้างซ้ายอาจเกิดจากหลายสาเหตุ ซึ่งเกี่ยวข้องกับอวัยวะต่างๆ ในบริเวณดังกล่าว เช่น กระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ ม้าม ไต หรือระบบสืบพันธุ์ในผู้หญิง

ความรุนแรงของอาการและลักษณะปวดมีความสำคัญต่อการวินิจฉัย หากปวดท้องข้างซ้ายเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ควรทราบสาเหตุและพิจารณาว่าจำเป็นต้องพบแพทย์หรือไม่

 สาเหตุของอาการปวดท้องข้างซ้าย
  1. โรคลำไส้แปรปรวน (Irritable Bowel Syndrome – IBS)  

   ลำไส้แปรปรวนเป็นภาวะที่พบได้บ่อย อาจทำให้เกิดอาการปวดท้องข้างซ้าย ท้องอืด ท้องผูก หรือท้องเสีย อาการมักเป็นๆ หายๆ และสัมพันธ์กับความเครียดหรืออาหารที่รับประทาน

  1. ลำไส้อักเสบหรือติดเชื้อ (Diverticulitis) 

   ภาวะลำไส้ใหญ่ส่วนปลายที่มีถุงเล็กๆ อักเสบ อาจทำให้เกิดอาการปวดหน่วงๆ ที่ท้องข้างซ้ายล่าง อาการร่วมอาจมีไข้ ท้องผูก หรือท้องเสีย

  1. โรคกระเพาะอาหาร (Gastritis)  

   การอักเสบของเยื่อบุกระเพาะอาหารจากกรดเกิน อาจทำให้เกิดอาการปวดบริเวณท้องซ้ายบน ร่วมกับอาการแน่นท้อง อาหารไม่ย่อย หรือคลื่นไส้

  1. นิ่วในไต (Kidney Stones) 

   นิ่วในไตหรือท่อไตด้านซ้าย อาจทำให้เกิดอาการปวดรุนแรงเป็นพักๆ ที่บริเวณหลังหรือท้องข้างซ้าย และอาจแผ่ไปที่ขาหนีบ มีอาการปัสสาวะแสบขัดหรือปัสสาวะมีเลือดปน

  1. ปัญหาม้าม (Splenic Disorders)  

   ม้ามที่ขยายใหญ่หรือฉีกขาด (ในกรณีอุบัติเหตุ) อาจทำให้เกิดอาการปวดบริเวณซ้ายบนของท้องร่วมกับความอ่อนเพลียและอาการตัวซีด

  1. ปัญหาในผู้หญิง  

   ผู้หญิงอาจปวดท้องข้างซ้ายจากภาวะที่เกี่ยวข้องกับรังไข่หรือมดลูก เช่น ซีสต์รังไข่ การตั้งครรภ์นอกมดลูก หรือการอักเสบในอุ้งเชิงกราน (PID)

 อาการที่ควรเฝ้าระวังและพบแพทย์ทันที

– อาการปวดรุนแรงและต่อเนื่อง  

– ไข้สูง  

– คลื่นไส้ อาเจียน  

– ท้องแข็งหรือบวม  

– ปัสสาวะผิดปกติ เช่น สีเข้ม ปัสสาวะแสบขัด หรือปัสสาวะมีเลือดปน  

– อุจจาระมีเลือดปน หรือท้องเสียต่อเนื่อง  

 

 การวินิจฉัยและการรักษา

แพทย์จะทำการตรวจร่างกาย และอาจมีการตรวจเพิ่มเติม เช่น  

– ตรวจเลือด เพื่อหาการอักเสบหรือการติดเชื้อ  

– การอัลตราซาวด์ หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT scan) เพื่อตรวจหาความผิดปกติของอวัยวะภายใน  

– การส่องกล้อง หากสงสัยว่าเป็นโรคกระเพาะอาหารหรือโรคลำไส้  

การรักษาจะขึ้นอยู่กับสาเหตุ เช่น ยาลดกรด ยาปฏิชีวนะ หรือการผ่าตัดในกรณีรุนแรง เช่น นิ่วหรือม้ามฉีกขาด

 

 สรุป

อาการปวดท้องข้างซ้ายอาจเกิดจากสาเหตุที่หลากหลาย ตั้งแต่โรคที่ไม่รุนแรง เช่น ลำไส้แปรปรวน ไปจนถึงภาวะฉุกเฉิน เช่น ลำไส้อักเสบหรือนิ่วในไต หากอาการปวดเป็นแบบรุนแรง ต่อเนื่อง

ถ่านเครื่องช่วยฟัง    หรือมีอาการร่วมผิดปกติ ควรพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสม อย่าปล่อยให้อาการลุกลามจนส่งผลกระทบต่อชีวิตและสุขภาพในระยะยาว.

อาชีพ ช่างสัก/นักออกแบบรอยสัก

อาชีพ ช่างสัก/นักออกแบบรอยสัก  เป็นอาชีพที่ต้องอาศัยทักษะและความคิดสร้างสรรค์ในการออกแบบลวดลายและทำการสักบนผิวหนังของลูกค้า รอยสักไม่ได้เป็นแค่การประดับผิวหนัง

แต่ยังสะท้อนถึงความเป็นตัวตน ความเชื่อ และความคิดของผู้สัก ทำให้อาชีพนี้มีความเป็นศิลปะสูง และต้องอาศัยความพิถีพิถันในการสร้างสรรค์งาน 

 

ขั้นตอนในการเป็นช่างสัก/นักออกแบบรอยสัก

  1. การฝึกทักษะการออกแบบ 

   ผู้ที่สนใจในอาชีพนี้จำเป็นต้องมีพื้นฐานด้านศิลปะและการวาดรูปที่ดี การเข้าเรียนในคอร์สศิลปะหรือการฝึกฝนวาดลายเส้นเป็นสิ่งจำเป็น เพราะการออกแบบรอยสักต้องใช้ความละเอียดและความเข้าใจในมิติต่าง ๆ ของลวดลายที่จะอยู่บนผิวหนัง  

   

  1. การฝึกทักษะการสัก

   การเป็นช่างสักจำเป็นต้องมีทักษะในการใช้เครื่องมือสัก ไม่ว่าจะเป็นการใช้เข็มสัก การควบคุมการสั่นสะเทือน และความรู้เรื่องผิวหนัง การฝึกงานกับช่างสักที่มีประสบการณ์เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ทำให้สามารถพัฒนาทักษะนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

  1. เรียนรู้เกี่ยวกับสุขอนามัย  

   การสักเป็นการทำงานที่เกี่ยวข้องกับร่างกายและเลือด ดังนั้นช่างสักจะต้องมีความรู้เกี่ยวกับสุขอนามัย เพื่อป้องกันการติดเชื้อหรือปัญหาด้านสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นกับลูกค้า การเรียนรู้การดูแลอุปกรณ์ให้สะอาดและการใช้อุปกรณ์ที่ได้มาตรฐานจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง

 

  1. การสร้างพอร์ตโฟลิโอ 

   การมีผลงานการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์และแสดงให้เห็นถึงทักษะในการสักเป็นสิ่งที่ช่วยดึงดูดลูกค้าได้ การโพสต์ผลงานผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น อินสตาแกรมหรือเว็บไซต์ส่วนตัว เป็นวิธีหนึ่งในการทำให้คนรู้จักและสนใจในผลงานของคุณ

 

ช่องทางการหารายได้ในอาชีพช่างสัก

  1. ร้านสักส่วนตัว   ช่างสักหลายคนเลือกเปิดร้านสักของตัวเองเพื่อให้บริการลูกค้า การมีร้านสักที่เป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมจะช่วยเพิ่มโอกาสในการหารายได้ที่มั่นคง

 

2.งานอิสระ บางคนอาจเลือกทำงานเป็นช่างสักอิสระ โดยไม่มีร้านสักของตัวเอง แต่ทำงานตามงานจ้างต่าง ๆ หรือไปทำงานที่ร้านสักที่มีการเชิญช่างสักรับเชิญ

 

  1. การขายออกแบบลวดลายสัก นักออกแบบรอยสักบางคนสามารถหารายได้จากการขายลายสักของตัวเองให้กับช่างสักคนอื่น ๆ หรือให้กับลูกค้าที่ต้องการออกแบบที่ไม่ซ้ำใคร

 

  1. การจัดคอร์สสอน    เมื่อมีประสบการณ์มากพอ ช่างสักสามารถจัดคอร์สสอนการสักหรือการออกแบบรอยสักให้กับผู้ที่สนใจในอาชีพนี้ ซึ่งเป็นช่องทางในการหารายได้เพิ่มเติม

 

จุดเด่นของอาชีพช่างสัก

  1. การเป็นศิลปินที่มีอิสระ ช่างสักคือศิลปินที่มีอิสระในการสร้างสรรค์ผลงาน การออกแบบและการสักบนร่างกายของลูกค้าเป็นการแสดงออกทางศิลปะที่ไม่เหมือนใคร

 

  1. การสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า   ช่างสักมักจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า เนื่องจากรอยสักเป็นสิ่งที่มีความหมายต่อลูกค้า และการทำงานอย่างใกล้ชิดในการเลือกและปรับแต่งลวดลายทำให้เกิดความไว้วางใจและความเชื่อมั่น

 

  1. โอกาสในการพัฒนาทักษะอย่างไม่สิ้นสุด  การออกแบบและเทคนิคการสักมีการพัฒนาอยู่เสมอ ช่างสักที่ดีจะต้องมีความกระตือรือร้นในการเรียนรู้และปรับปรุงทักษะของตนเองให้ทันสมัย

 

  1. ความภูมิใจในผลงานที่ยั่งยืน  รอยสักเป็นผลงานที่อยู่บนร่างกายของลูกค้าตลอดชีวิต การที่ช่างสักสามารถสร้างสรรค์งานที่มีความหมายและสวยงามเป็นสิ่งที่น่าภูมิใจ

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย      hoiana

Bystander Effect: หมายถึงปรากฏการณ์ทางสังคมที่บุคคลมีแนวโน้มที่จะช่วยเหลือผู้อื่นน้อยลง

Bystander Effect หรือปรากฏการณ์ผู้ยืนดูเฉย เป็นปรากฏการณ์ทางจิตวิทยาที่อธิบายถึงเหตุการณ์ที่บุคคลไม่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือผู้อื่นที่ตกอยู่ในภาวะคับขัน เนื่องจากเชื่อว่าคนอื่นๆ ที่อยู่รอบข้างจะเป็นผู้เข้าไปช่วยแทน

ซึ่งผลของ Bystander Effect นี้มักเกิดขึ้นบ่อยในสถานการณ์ที่มีคนจำนวนมากอยู่ด้วยกัน เช่น ความรุนแรงในโรงเรียน ซึ่งในบางครั้งเด็กๆ จำนวนมากกลับเลือกที่จะดูเหตุการณ์เฉยๆ มากกว่าที่จะเข้าไปช่วยเหลือเด็กคนหนึ่งที่กำลังถูกทำร้ายหรือถูกรังแก

ปรากฏการณ์นี้ถูกค้นพบและศึกษาโดยนักจิตวิทยา John Darley และ Bibb Latané ในปี 1968

โดยพวกเขาพบว่าเมื่อมีคนอยู่ในเหตุการณ์จำนวนมากเท่าใด คนเหล่านั้นกลับยิ่งลดโอกาสที่จะเข้าไปช่วยผู้อื่น การทดลองที่มีชื่อเสียงที่สุดของพวกเขาแสดงให้เห็นว่าคนทั่วไปมักจะปล่อยให้คนอื่นเป็นคนช่วย

เพราะเชื่อว่าคนอื่นจะดำเนินการแทน ซึ่งอธิบายว่าเหตุใดเมื่อมีหลายคนเห็นเหตุการณ์ที่น่าตกใจ เช่น การถูกรังแก แต่ไม่มีใครกล้าที่จะเข้าไปช่วย

 

เหตุผลเบื้องหลังของ Bystander Effect

  1. การกระจายความรับผิดชอบ (Diffusion of Responsibility): เมื่อมีคนมากมายอยู่ในเหตุการณ์เดียวกัน คนที่อยู่ในเหตุการณ์มักจะคิดว่าไม่จำเป็นต้องเป็นหน้าที่ของตนเองในการเข้าไปช่วยเหลือ แต่คนอื่นๆ ที่อยู่ในบริเวณนั้นควรเป็นผู้รับผิดชอบแทน สิ่งนี้เป็นการกระจายความรับผิดชอบ ทำให้แต่ละคนรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องทำอะไร
  2. การยึดตามผู้อื่น (Social Influence): คนทั่วไปมักมองดูการกระทำของคนอื่นก่อนจะตัดสินใจทำอะไร หากไม่มีใครทำอะไร คนอื่นๆ ก็จะเข้าใจว่าเหตุการณ์นั้นไม่ได้เร่งด่วนหรืออันตรายจนต้องเข้าไปช่วยเหลือ เป็นพฤติกรรมที่เกิดจากการปฏิบัติตามผู้อื่นในสังคม
  3. ความกลัวที่จะทำผิด (Fear of Making a Mistake): บางคนอาจกลัวว่าจะเข้าไปช่วยเหลือแล้วทำให้สถานการณ์แย่ลง หรือกลัวว่าจะถูกมองว่าเข้าไปยุ่งในเรื่องของคนอื่น ซึ่งทำให้พวกเขาตัดสินใจที่จะไม่เข้าไปมีส่วนร่วม
  4. การไม่รู้ว่าควรทำอะไร (Lack of Knowledge or Skills): สำหรับบางคน การไม่เข้าใจวิธีการจัดการกับสถานการณ์คับขัน เช่น ไม่รู้ว่าจะเข้าไปห้ามการทะเลาะกันอย่างไรหรือไม่รู้ว่าควรเรียกใครมาช่วย จึงทำให้พวกเขาตัดสินใจที่จะไม่ทำอะไร

สำหรับเหตุการณ์ในโรงเรียนที่เด็กๆ ยืนดูเพื่อนถูกทำร้ายแต่ไม่เข้าไปช่วยเหลือ

อาจไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไม่มีความเห็นอกเห็นใจ แต่เนื่องจากปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลต่อการตัดสินใจ เช่น พวกเขาอาจไม่แน่ใจว่าควรทำอะไร หรืออาจกลัวว่าตนเองจะถูกทำร้ายเช่นกันถ้าเข้าไปยุ่งกับเหตุการณ์

เพื่อแก้ไขปัญหานี้ การให้การศึกษาเรื่องการช่วยเหลือผู้อื่นในสถานการณ์คับขันและการสร้างสภาพแวดล้อมที่เด็กๆ รู้สึกปลอดภัยและมีความรับผิดชอบเป็นสิ่งที่สำคัญ

การสอนให้พวกเขาเข้าใจถึงความสำคัญของการช่วยเหลือเพื่อนในเวลาที่พวกเขาต้องการความช่วยเหลือเป็นสิ่งที่สามารถลดผลกระทบของ Bystander Effect ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ในท้ายที่สุด Bystander Effect สอนให้เราเห็นว่ามนุษย์มีแนวโน้มที่จะรอคนอื่นเป็นผู้กระทำในสถานการณ์คับขัน แต่การเสริมสร้างความรู้และทักษะในการเข้าไปช่วยเหลือ และการให้การสนับสนุนการตัดสินใจช่วยเหลือผู้อื่น จะสามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมนี้ได้

 

สนับสนุนโดย      เครื่องช่วยฟังตัดเสียงรบกวน

ประวัติ ซีมง เดอ ลาลูแบร์ อัครราชทูตของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส

ซีมง เดอ ลาลูแบร์ (Simon de La Loubère) เป็นอัครราชทูตที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์ไทยและฝรั่งเศส เขาเกิดเมื่อวันที่ 21 เมษายน ค.ศ. 1642 ในเมืองตูลูส ประเทศฝรั่งเศส

ลาลูแบร์เป็นที่รู้จักมากที่สุดจากการเขียนหนังสือ “จดหมายเหตุ ลา ลูแบร์” (Du Royaume de Siam)

ซึ่ง    ใส่เครื่องช่วยฟังดีไหม     บันทึกประสบการณ์และการสังเกตของเขาระหว่างการเดินทางมาเป็นทูตจากพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส มายังกรุงศรีอยุธยาในปี ค.ศ. 1687

 

การมาเยือนของลาลูแบร์เป็นส่วนหนึ่งของภารกิจการทูตที่มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างฝรั่งเศสและไทย รวมถึงการเผยแพร่ศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิก โดยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ได้ส่งคณะทูตหลายคนมายังสยามเพื่อทำภารกิจนี้

ลาลูแบร์มีความสามารถในการศึกษาภาษา วัฒนธรรม และสังคมท้องถิ่น เขาเป็นผู้ที่มีความสนใจในการสังเกตและจดบันทึกอย่างละเอียดเกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยในสมัยนั้น รวมถึงการปกครอง ศาสนา ประเพณี และวิถีชีวิตประจำวัน

 

หนึ่งในผลงานที่โดดเด่นของลาลูแบร์คือหนังสือ “จดหมายเหตุ ลา ลูแบร์” ซึ่งได้กลายเป็นเอกสารสำคัญทางประวัติศาสตร์ที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับกรุงศรีอยุธยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 17

หนังสือเล่มนี้เป็นการบันทึกเรื่องราวจากมุมมองของชาวตะวันตกที่เดินทางมายังสยาม ลาลูแบร์ได้บรรยายถึงโครงสร้างทางการเมืองและการปกครองของสยาม รวมถึงอธิบายถึงลักษณะของพระมหากษัตริย์ พระสงฆ์ และขุนนางในราชสำนัก รวมถึงการบันทึกพิธีกรรมทางศาสนา เช่น พิธีพระบรมศพ

 

หนังสือ “จดหมายเหตุ ลา ลูแบร์” นับเป็นแหล่งข้อมูลที่สำคัญในการศึกษาประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมไทย

นอกจากการบันทึกเรื่องการปกครองแล้ว ลาลูแบร์ยังได้กล่าวถึงเรื่องสถาปัตยกรรม ประเพณีทางดนตรีและศิลปะ ตลอดจนการดำเนินชีวิตของประชาชนในสังคม ลาลูแบร์ยังสนใจเรื่องการศึกษาและการเผยแพร่ความรู้ในสยาม เช่น เขาสังเกตเห็นว่าคนไทยเรียนหนังสือจากตำราใบลานและการจารึกคำสอนทางศาสนา

 

การเดินทางของลาลูแบร์ไม่ได้ประสบผลสำเร็จทางการเมืองตามที่หวังไว้ เนื่องจากปัจจัยทางการเมืองในราชสำนักสยามและการเปลี่ยนแปลงภายในราชอาณาจักร  แม้ว่าลาลูแบร์จะเป็นนักการทูตและนักบันทึกเหตุการณ์

แต่เขายังมีทักษะในการสังเกตและตีความข้อมูลทางวัฒนธรรมอย่างละเอียดถี่ถ้วน หนังสือของเขาเป็นที่สนใจของนักวิจัยในภายหลังเพราะมันไม่เพียงแต่บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับการเมืองและเศรษฐกิจของสยามเท่านั้น

แต่ยังสะท้อนถึงวิถีชีวิตของประชาชนในสยามอย่างละเอียด จดหมายเหตุ ลาลูแบร์จึงถือเป็นหนึ่งในหนังสือที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญและถูกนำมาอ้างอิงในงานวิจัยเกี่ยวกับสยามอยู่บ่อยครั้ง

 

ซีมง เดอ ลาลูแบร์เสียชีวิตเมื่อวันที่ 26 มีนาคม ค.ศ. 1729 ที่ปารีส แม้เขาจะใช้ชีวิตอย่างสงบในช่วงบั้นปลายชีวิต แต่ผลงานของเขาได้ทิ้งมรดกทางปัญญาอันยิ่งใหญ่ที่ช่วยให้เราสามารถเรียนรู้และทำความเข้าใจประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของกรุงศรีอยุธยาในยุคนั้นได้