Tag Archives: เครื่องช่วยฟังตัดเสียงรบกวน

Bystander Effect: หมายถึงปรากฏการณ์ทางสังคมที่บุคคลมีแนวโน้มที่จะช่วยเหลือผู้อื่นน้อยลง

Bystander Effect หรือปรากฏการณ์ผู้ยืนดูเฉย เป็นปรากฏการณ์ทางจิตวิทยาที่อธิบายถึงเหตุการณ์ที่บุคคลไม่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือผู้อื่นที่ตกอยู่ในภาวะคับขัน เนื่องจากเชื่อว่าคนอื่นๆ ที่อยู่รอบข้างจะเป็นผู้เข้าไปช่วยแทน

ซึ่งผลของ Bystander Effect นี้มักเกิดขึ้นบ่อยในสถานการณ์ที่มีคนจำนวนมากอยู่ด้วยกัน เช่น ความรุนแรงในโรงเรียน ซึ่งในบางครั้งเด็กๆ จำนวนมากกลับเลือกที่จะดูเหตุการณ์เฉยๆ มากกว่าที่จะเข้าไปช่วยเหลือเด็กคนหนึ่งที่กำลังถูกทำร้ายหรือถูกรังแก

ปรากฏการณ์นี้ถูกค้นพบและศึกษาโดยนักจิตวิทยา John Darley และ Bibb Latané ในปี 1968

โดยพวกเขาพบว่าเมื่อมีคนอยู่ในเหตุการณ์จำนวนมากเท่าใด คนเหล่านั้นกลับยิ่งลดโอกาสที่จะเข้าไปช่วยผู้อื่น การทดลองที่มีชื่อเสียงที่สุดของพวกเขาแสดงให้เห็นว่าคนทั่วไปมักจะปล่อยให้คนอื่นเป็นคนช่วย

เพราะเชื่อว่าคนอื่นจะดำเนินการแทน ซึ่งอธิบายว่าเหตุใดเมื่อมีหลายคนเห็นเหตุการณ์ที่น่าตกใจ เช่น การถูกรังแก แต่ไม่มีใครกล้าที่จะเข้าไปช่วย

 

เหตุผลเบื้องหลังของ Bystander Effect

  1. การกระจายความรับผิดชอบ (Diffusion of Responsibility): เมื่อมีคนมากมายอยู่ในเหตุการณ์เดียวกัน คนที่อยู่ในเหตุการณ์มักจะคิดว่าไม่จำเป็นต้องเป็นหน้าที่ของตนเองในการเข้าไปช่วยเหลือ แต่คนอื่นๆ ที่อยู่ในบริเวณนั้นควรเป็นผู้รับผิดชอบแทน สิ่งนี้เป็นการกระจายความรับผิดชอบ ทำให้แต่ละคนรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องทำอะไร
  2. การยึดตามผู้อื่น (Social Influence): คนทั่วไปมักมองดูการกระทำของคนอื่นก่อนจะตัดสินใจทำอะไร หากไม่มีใครทำอะไร คนอื่นๆ ก็จะเข้าใจว่าเหตุการณ์นั้นไม่ได้เร่งด่วนหรืออันตรายจนต้องเข้าไปช่วยเหลือ เป็นพฤติกรรมที่เกิดจากการปฏิบัติตามผู้อื่นในสังคม
  3. ความกลัวที่จะทำผิด (Fear of Making a Mistake): บางคนอาจกลัวว่าจะเข้าไปช่วยเหลือแล้วทำให้สถานการณ์แย่ลง หรือกลัวว่าจะถูกมองว่าเข้าไปยุ่งในเรื่องของคนอื่น ซึ่งทำให้พวกเขาตัดสินใจที่จะไม่เข้าไปมีส่วนร่วม
  4. การไม่รู้ว่าควรทำอะไร (Lack of Knowledge or Skills): สำหรับบางคน การไม่เข้าใจวิธีการจัดการกับสถานการณ์คับขัน เช่น ไม่รู้ว่าจะเข้าไปห้ามการทะเลาะกันอย่างไรหรือไม่รู้ว่าควรเรียกใครมาช่วย จึงทำให้พวกเขาตัดสินใจที่จะไม่ทำอะไร

สำหรับเหตุการณ์ในโรงเรียนที่เด็กๆ ยืนดูเพื่อนถูกทำร้ายแต่ไม่เข้าไปช่วยเหลือ

อาจไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไม่มีความเห็นอกเห็นใจ แต่เนื่องจากปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลต่อการตัดสินใจ เช่น พวกเขาอาจไม่แน่ใจว่าควรทำอะไร หรืออาจกลัวว่าตนเองจะถูกทำร้ายเช่นกันถ้าเข้าไปยุ่งกับเหตุการณ์

เพื่อแก้ไขปัญหานี้ การให้การศึกษาเรื่องการช่วยเหลือผู้อื่นในสถานการณ์คับขันและการสร้างสภาพแวดล้อมที่เด็กๆ รู้สึกปลอดภัยและมีความรับผิดชอบเป็นสิ่งที่สำคัญ

การสอนให้พวกเขาเข้าใจถึงความสำคัญของการช่วยเหลือเพื่อนในเวลาที่พวกเขาต้องการความช่วยเหลือเป็นสิ่งที่สามารถลดผลกระทบของ Bystander Effect ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ในท้ายที่สุด Bystander Effect สอนให้เราเห็นว่ามนุษย์มีแนวโน้มที่จะรอคนอื่นเป็นผู้กระทำในสถานการณ์คับขัน แต่การเสริมสร้างความรู้และทักษะในการเข้าไปช่วยเหลือ และการให้การสนับสนุนการตัดสินใจช่วยเหลือผู้อื่น จะสามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมนี้ได้

 

สนับสนุนโดย      เครื่องช่วยฟังตัดเสียงรบกวน

ประวัติและความเชื่อเกี่ยวกับ ทวีปมู (Mu)

ผู้คนเป็นจำนวนมากได้มีการศึกษาในสมัยเรียนมาแล้วว่า โลกของเรานั้นมีอยู่ด้วยกันถึง 7 ทวีป และแต่ละทวีปก็มีหลายประเทศอยู่ในนั้น 

แต่คุณอาจจะไม่เคยรุ้ว่า ในความเชื่อของคนในอดีต มีความเชื่อว่า ทวีปไม่ได้มีเพียงแค่ 7 ทวีปเท่านั้นแต่ยังมีอีกทวีปที่หายสาปสูญไปนั้นก็คือ  ทวีปมู นั่นเอง 

ทวีปมู เป็นหนึ่งในตำนานหรือแนวคิดเกี่ยวกับทวีปที่สูญหาย ซึ่งเชื่อว่าตั้งอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิก แนวคิดเกี่ยวกับทวีปนี้ถูกพัฒนาขึ้นมาจากงานวิจัยและการคาดเดาของนักวิชาการในสมัยศตวรรษที่ 19

โดยเฉพาะ เจมส์ เชิร์ชเวิร์ด (James Churchward) นักโบราณคดีและนักเขียนชาวอังกฤษ ซึ่งเป็นผู้ที่ทำให้แนวคิดเกี่ยวกับทวีปมูโด่งดังขึ้น

เชิร์ชเวิร์ดได้เขียนหนังสือหลายเล่มเกี่ยวกับทวีปมูและเล่าว่ามีความเจริญรุ่งเรืองมาก่อนจะถูกทำลายลงโดยภัยธรรมชาติ

 

ตามทฤษฎีของเชิร์ชเวิร์ด เขาอ้างว่าทวีปมูเป็นแหล่งกำเนิดอารยธรรมของมนุษยชาติทั้งหมด

และมีประชากรที่เจริญทางวิทยาศาสตร์และศิลปะการสร้างสรรค์เป็นอย่างมาก เชิร์ชเวิร์ดอ้างว่าเขาได้ข้อมูลนี้จากการค้นพบแผ่นหินโบราณของชาวมายาในเม็กซิโก ซึ่งบอกเล่าถึงการมีอยู่ของทวีปมู นอกจากนี้ยังมีการเปรียบเทียบกับแนวคิดอื่น ๆ เช่น ทวีปแอตแลนติสที่สูญหายซึ่งตั้งอยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติก

 

แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานทางโบราณคดีหรือวิทยาศาสตร์ที่แน่ชัดเกี่ยวกับทวีปมู แต่แนวคิดนี้ก็ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในกลุ่มคนที่สนใจเรื่องเหนือธรรมชาติและทฤษฎีสมคบคิด ในปัจจุบัน

แนวคิดเกี่ยวกับทวีปมูยังคงมีผู้ที่เชื่อและสนใจ โดยเฉพาะในวงการที่สนใจเรื่องลี้ลับและการเชื่อมโยงกับอารยธรรมโบราณ บางคนเชื่อว่ามูเป็นแหล่งพลังงานหรือจุดศูนย์กลางของความเจริญทางจิตวิญญาณ

เครื่องช่วยฟังตัดเสียงรบกวน     และมีผู้ที่พยายามเชื่อมโยงแนวคิดนี้เข้ากับความเจริญของวัฒนธรรมโบราณในภูมิภาคแปซิฟิก เช่น หมู่เกาะฮาวาย หมู่เกาะฟิจิ และไมโครนีเซีย

 

ความเชื่อเกี่ยวกับทวีปมูได้ถูกนำมาเชื่อมโยงกับแนวคิดเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวและการมาเยือนของสิ่งมีชีวิตจากนอกโลก

บางทฤษฎีเชื่อว่าผู้อาศัยในทวีปมูเป็นมนุษย์ต่างดาวหรือมีการติดต่อกับสิ่งมีชีวิตจากจักรวาล แนวคิดนี้มักพบในงานวรรณกรรม นิยายวิทยาศาสตร์ และสื่อบันเทิงต่าง ๆ ซึ่งได้เพิ่มความนิยมให้กับตำนานทวีปมูในยุคปัจจุบัน

 

แม้ว่าจะมีการถกเถียงกันอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับความเป็นจริงของทวีปมู แต่นักวิทยาศาสตร์และนักโบราณคดีส่วนใหญ่ยังคงเชื่อว่าทวีปมูเป็นเพียงตำนานหรือแนวคิดที่เกิดจากการคาดเดาและการตีความข้อมูลที่ผิดพลาด ไม่มีหลักฐานที่ยืนยันได้ว่าทวีปนี้เคยมีอยู่จริงหรือเป็นแหล่งกำเนิดอารยธรรมของมนุษย์

 

อย่างไรก็ตาม ความนิยมในแนวคิดเกี่ยวกับทวีปมูยังคงอยู่ในวัฒนธรรมร่วมสมัย และถูกนำมาใช้ในสื่อหลายประเภท เช่น ภาพยนตร์ รายการโทรทัศน์ และนิยายแฟนตาซี นอกจากนี้ยังมีผู้ที่ยังคงค้นหาหลักฐานทางวิทยาศาสตร์หรือโบราณคดีที่